Studying Men and Masculinities
M.
Ford and L. Lyons. Men and Masculinities in Southeast Asia. London, Routledge.
แปลและเรียบเรียงโดย ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
การศึกษา “ผู้ชาย” และ “ความเป็นชาย” ที่มีความไม่ลงรอยจากเฟมินิสต์คลื่นลูกที่สองซึ่งโต้แย้งว่าตัวตนของผู้หญิงได้หายไปจากการสร้างความรู้
ซึ่งมักจะเป็นเรื่องพฤติกรรมและการปฏิบัติของผู้ชาย ความรู้ที่เป็น “แบบผู้ชาย”ไม่ได้เพียงจะบดบังชีวิตของผู้หญิงเท่านั้น
แต่ยังปฏิเสธความรู้ที่เป็นเรื่องของเพศภาวะด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
มันทำให้ผู้ชายเป็นวัตถุของการวิจัยที่ปราศจากการมองเห็นการวางผู้ชายไว้ในตำแหน่งแห่งเพศภาวะ นักวิชาการเฟมินิสต์พยายามท้าทายสมมุติฐานนี้โดยการทำให้เห็นความรู้ทุกอย่างมาจากความคิดเรื่องเพศภาวะ การศึกษาเกี่ยวกับผู้ชายและความเป็นชายที่ผ่านมาสะท้อนความคิดของเฟมินิสต์ว่า
การสนใจประสบการณ์ของผู้ชาย ทำให้เห็นถึงหลักฐานต่างๆเกี่ยวกับความข่มขื่นในเพศภาวะของผู้ชาย
และทำให้เกิดการศึกษาแนวใหม่ที่เรียกว่า Men’s Studies หรือบุรุษศึกษา อย่างไรก็ตาม การศึกษาแบบนี้ก็ยังมีอันตรายซึ่งเลียนแบบ
“สตรีศึกษา” การศึกษาผู้ชายจะมองข้ามบทบาททางการเมืองในวิชาสตรีศึกษา
ซึ่งเป็นวิชาที่ผู้หญิงสามารถแสดงความรู้เชิงวิพากษ์จากการที่เป็นกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ ความสนใจต่อการศึกษาเพศภาวะและอำนาจอาจถูกบดบัง
และวิชาบุรุษศึกษาอาจทำให้เห็นความไม่เท่าเทียมทางเพศในฐานะเป็นเหยื่อของระบบปิตาธิปไตยและประโยชน์ของเฟมินิสต์ ด้วยเหตุนี้ นักวิชาการหลายคนจึงปฏิเสธคำว่า “บุรุษศึกษา”
และหันไปใช้คำว่า “การศึกษาบุรุษเชิงวิพากษ์” (critical studies on men)
(CSM), critical men’s studies หรือการศึกษาบุรุษและความเป็นชาย (studies
of men and masculinities)
คอนแนลล์(2005) อธิบายว่าการศึกษาบุรุษเชิงวิพากษ์ถูกสร้างขึ้นโดยไม่คู่ขนานกับการศึกษาผู้หญิงแบบเฟมินิสต์
คำอธิบายนี้ทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย เช่น
นักวิชาการที่ศึกษาบุรุษเชิงวิพากษ์จะสร้างความรู้อย่างไรที่สัมพันธ์กับการศึกษาบุรุษแบบเฟมินิสต์ ถ้าการศึกษาบุรุษเชิงวิพากษ์คือการวิจัยที่เกิดจากความคิดแบบเฟมินิสต์
อะไรที่จะทำให้การศึกษานี้ต่างจากการศึกษาเพศภาวะเชิงวิพากษ์
อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษาบุรุษเชิงวิพากษ์กับงานวิจัยด้านเพศภาวะอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นเควียร์ศึกษาและหลังอาณานิคมศึกษา คำตอบหนึ่งต่อคำถามเหล่านี้โต้แย้งว่าการศึกษาบุรุษเชิงวิพากษ์คือศึกษาโดยผู้ชายในประเด็นผู้ชายและความเป็นชาย
ในขณะที่เฟมินิสต์จะศึกษาผู้หญิงโดยผู้หญิง
คำตอบแบบนี้ไม่ใช่การแบ่งแยกการวิจัยที่มาจากฐานเรื่องเพศที่แตกต่าง แต่เป็นการชี้ให้เห็นสภาพของนักวิชาการที่ศึกษาผู้ชายและความเป็นชายซึ่งเฟมินิสต์จะไม่ค่อยศึกษาเรื่องนี้ จากการสำรวจการศึกษาเฟมินิสต์ในช่วง 4
ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าคำตอบมักจะเป็นแบบนี้ ทฤษฎีเฟมินิสต์คือทฤษฎีที่ใช้ทำความเข้าใจการโยงใยกันระหว่างเพศภาวะและอำนาจ
ซึ่งมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม
คุณูประการสำคัญของเฟมินิสต์ต่อการศึกษาผู้ชายและความเป็นชายมักจะถูกมองข้ามจากการศึกษาบุรุษเชิงวิพากษ์
การไม่สนใจความคิดของเฟมินิสต์จะพบได้ในงานศึกษาผู้ชายและความเป็นชายที่ผ่านมาซึ่งปราศจากกการวิเคราะห์เพศภาวะ
ผลก็คือทำให้การศึกษาไม่น่าเชื่อถือเท่าไร
ความไม่น่าเชื่อถือดังกล่าวนี้คือหลักฐานที่มีอยู่ในการโต้แย้งของการศึกษาบุรุษเชิงวิพากษ์ในประเด็นความหมายและความสำคัญของแนวคิดเกี่ยวกับ
“ผู้ชาย” และ “ความเป็นชาย” ความคิดเรื่อง
“ความเป็นชาย”กลายเป็นเรื่องเดียวกับการศึกษาผู้ชาย
และกลายเป็นสูตรสำเร็จสำหรับความหมายและประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับการเป็น “ผู้ชาย”
ในบริบททางสังคมวัฒนธรรม (การสื่อความหมายเชิงวัฒนธรรม) ในประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของผู้ชาย
(การปฏิบัติและอัตลักษณ์) และในวิธีการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย
และระหว่างผู้ชายด้วยกัน (อำนาจทางสังคม)
ความหมายที่หลากหลายที่สัมพันธ์กับแนวคิดความเป็นชายทำให้เห็นความคลุมเคลือของแนวคิด
จากประเด็นนี้ เฮิร์นและปริงเกล
จึงพูดถึงเรื่องการปฏิบัติของผู้ชายทั้งที่เป็นปัจเจกและกลุ่มคน
หรืออัตลักษณ์และวาทกรรมของผู้ชายมากกว่าจะพูดถึงความเป็นชายโดดๆ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนนี้คิดว่าความหมายของ “ความเป็นชาย”
คือสูตรสำเร็จที่ใช้พูดถึงการปฏิบัติ ความคิด ความเชื่อ การแสดงตัว
และการสร้างภาพลักษณ์ของผู้ชาย
การเชื่อมโยงผู้ชายกับความเป็นชาย คือความคิดรากฐานในการแบ่งแยกคู่ตรงข้ามแบบรักต่างเพศ
เช่น ชายกับหญิง ซึ่งให้ความสำคัญกับร่างกายที่มีเพศในการทำความเข้าใจการแสดงออกของเพศภาวะ นักทฤษฎีเควียร์และเฟมินิสต์ทั้งหลายเคยวิจารณ์ความเข้าใจเรื่องเพศภาวะแบบตายตัวเช่นนี้
โดยการแย้งว่าการแยกขั้วหญิงชายไม่ใช่ความจริงที่มีแก่นแท้หรือมาจากชีววิทยา
ร่างกายที่มีเพศไม่ใช่ “ความจริง” ที่มีอยู่ในตัวเอง
แต่เป็นการสร้างขึ้นทางวัฒนธรรม คอร์นวอลล์และลินดิสฟราน(1994)
อธิบายว่าในขณะที่การผลิตศร้างทางสังคมของการแบ่งประเภทของเพศภาวะมีการอธิบายถึงลักษณะเฉพาะอย่างระมัดระวัง
ความคิดเกี่ยวกับประเภทของเพศภาวะทั้งหลายก็มักเชื่อในคู่ตรงข้ามที่โต้แย้งไม่ได้
ซึ่งจริงๆแล้วความคิดนี้มาจากความเชื่อในความแตกต่างทางชีววิทยา
ลักษณะเฉพาะทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมถูกวางไว้กับความเป็นสากลทางชีววิทยาที่ใช้แยกร่างกายเพศหญิงและเพศชาย
การวิจัยในกลุ่มชนต่างๆได้แสดงให้เห็นว่าความหมายแต่ละอย่างของ
ผู้ชาย/เพศชาย/ความเป็นชาย
มีความซับซ้อนและคลุมเคลือซึ่งจะเปลี่ยนไปตามบริบทในช่วงเวลาต่างๆ การวิจารณ์ของเควียร์และเฟมินิสต์เกี่ยวกับความต่างกันของเพศสรีระและเพศภาวะจะไม่มีอิทธิพลต่อการศึกษาของบุรุษศึกษาเลย
ซึ่งการศึกษาส่วนใหญ่จะเชื่อในความต่างกันระหว่างหญิงและชาย สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานที่ชี้ว่าวิชาการศึกษาบุรุษเชิงวพากษ์ก่อตัวมาอย่างไร
และชี้ให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องความเป็นชายถูกใช้อธิบายและโต้เถียงอย่างไร คำว่า “ความเป็นชาย”
มักจะถูกใช้เพื่อแสดงถึงคุณสมบัติเฉพาะของผู้ชาย
ความคิดดังกล่าวนี้เป็นการมองว่าความเป็นชายมีแก่นแท้มาจากปัจจัยชีววิทยาซึ่งมีมาแต่กำเนิดและผูกติดกับการสร้างเพศภาวะทางสังคม
ความคิดนี้ทำให้นักวิชาการบางคนเรียกร้องให้มีการแยกระหว่าง “การเป็นชาย” ออกจาก “การเป็นผู้ชาย”
และมองว่าคำต่างๆ ที่เป็น ผู้ชาย/เพศชาย/ความเป็นชาย และผู้หญิง/เพศหญิง/ความเป็นหญิง
จะใช้อธิบายความแตกต่างที่พบเห็น และยังเป็นคุณลักษณะที่ต่างกันของร่างกายและพฤติกรรมของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น
ถึงแม้ความเป็นชายจะช่วยทำให้เห็นภาพลักษณ์แบบชาย แต่สิ่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปรากฎอยู่ในผู้ชายทุกคน
และอาจจะมีอยู่ในผุ้หญิงด้วย
เซดจ์วิค(1995) เคยชี้ว่า “ในฐานะผู้หญิง ฉันยังแสดงความเป็นชาย
แต่ฉันไม่มีความเป็นชายมากกว่าผู้ชาย ในฐานะที่ฉันเป็นผู้หญิง ฉันก็สร้างและแสดงความเป็นชายเช่นเดียวกับผู้ชาย”
ความเป็นชายและความเป็นหญิงมีความหมายต่างกัน
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตและประสบการณ์ที่เพศชายและเพศหญิงปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม การจับคู่ระหว่างผู้ชายและความเป็นชายที่ปรากฎอยู่ในการศึกษาบุรุษเชิงวิพากษ์
ก็มองข้ามความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเพศสรีระและเพศภาวะ
การศึกษาความเป็นชายส่วนใหญ่มักจะล้มเหลวในการนำความคิดเฟมินิสต์มาใช้เพื่ออธิบายเพศภาวะ
เพศวิถี และอำนาจ
ความคิดของบัตเลอร์เรื่อง “ปฏิบัติการของการแสดง” (performativity) จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับกระบวนการของการสร้างกิริยาอาการที่แสดงออกมา ในความคิดนี้
จะเห็นว่าการแสดงออกของเพศภาวะเป็นเรื่องที่อยู่ใต้จิตสำนึกและเกิดขึ้นเอง คู่ตรงข้ามของเพศภาวะระหว่างความเป็นชายลความเป็นหญิง
ถูกมองว่าเป็นเรื่องตามธรรมชาติที่มาพร้อมกับกระบวนการตกผลึกมายาวนาน
ซึ่งทำให้การแสดงออกในกิริยาท่าทางและการแสดงออกทางกายเป็นรูปแบบของการทำซ้ำๆจนเคยชิน
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ร่างกายตามธรรมชาติมีความต่างกันจโดยเพศสรีระซึ่งดำรงอยู่ในคู่ตรงข้ามกันระหว่างชายหญิง แทนที่เราจะมองว่าบุคคลเป็นเพศชายหรือเพศหญิง
บัตเลอร์วิเคราะห์ว่าเพศภาวะของบุคคลเป็นสิ่งที่ถูกแสดงออก
เพศภาวะของคนๆหนึ่งจะถูกสร้างผ่านปฏิบัติการของการแสดงที่ทำซ้ำๆกัน ตัวอย่างเช่น
เพศภาวะเป็นเรื่องของกิริยาท่าทาง หรือการกระทำทางร่างกาย
ซึ่งเป็นทั้งการแสดงและความตั้งใจ
การแสดงออกเหล่านี้ชี้ให้เห็นการสร้างความหมายโดยไม่ได้ตั้งใจ
แนวการวิเคราะห์นี้บอกให้รู้ว่าเพศภาวะไม่ใช่อัตลักษณ์ แต่เป็น
วิธีการแสดงซ้ำๆกันภายใต้กฎระเบียบที่เคร่งครัด
ข้อจำกัดของการวิจัยจากบุรุษศึกษาเชิงวิพากษ์อีกอย่างหนึ่ง
คือมีการทำให้ผู้ชายกลายเป็น “เอกภาพ” ตามการจัดประเภทของความคิดแก่นแท้นิยม
เฟมินิสต์เคยปฏิเสธว่าความคิดเรื่อง “ผู้หญิง” เป็นทั้งการจัดประเภทและการต่อสู้ทางการเมือง
เพราะมันมีผลกระทบต่อการบดบังความหลากหลายของผู้หญิง
และยังเป็นการมองข้ามวิธีที่ผู้ชายและผู้หญิงถูกทำให้มีตัวตนของเพศภาวะ ชนชั้น
และเชื้อชาติ
แทนที่จะมองเพศภาวะเป็นต้นเหตุของการกดทับผู้หญิงและการกดขี่โดยผู้ชาย เฟมินิสต์ในโลกที่สามและผู้หญิงผิวสีออกมาเรียกร้องการศึกษาที่มีการตรวจสอบวิธีการที่ผู้หญิงและผู้ชายได้ประโยชน์หรือถูกใช้ประโยชน์หรือมีส่วนกระทำจากการแสดงเพศภาวะหญิงและชาย
การศึกษาแนวนี้สามารถทำให้เข้าใจว่าผู้ชายมีประโยชน์ทางการเมืองเช่นเดียวกับผู้หญิง
โดยเฉพาะในเรื่องความยากจน การจราจลและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
การศึกษานี้ต้องการสำรวจว่าชายและหญิงถูกวางในตำแหน่งสูงต่ำอย่างไร
การศึกษานี้ไม่ได้แสวงหาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ทางเพศ ทางเชื้อชาติ
และทางชาติพันธุ์ที่ถูกต้อง แต่ต้องการอธิบายตำแหน่งของชายหญิงในความสัมพันธ์แบบช่วงชั้นเชิงโครงสร้าง
คอลลินส์(1999) ใช้คำว่า “การเกี่ยวโยงพัวพัน” (intersectionality) เพื่ออธิบายช่วงชั้นของอำนาจที่ปรากฎอยู่
และเพื่อชี้ว่าเพศภาวะที่อยู่ในการโยงใยเกี่ยวพันกันจะทำให้การตีความใหม่ว่าเพศภาวะคือชุดของความคิดและการปฏิบัติซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ
และมันได้สร้างระบบของการกดขี่ข่มเหงที่ซับซ้อน
ถึงแม้ว่าแนวคิดเรื่องการเกี่ยวโยงพัวพันจะถูกใช้โดยนักวิชาการแนวบุรุษศึกษาบางคน
แต่ความคิดเรื่อง “ความต่าง” ก็ยังคงถูกละเลย สิ่งนี้สามารถอธิบายได้โดยบทบาทสำคัญของแนวคิดที่คอนแนลล์เสนอไว้ในเรื่อง
“ความเป็นชายที่ชี้นำสังคม” (Hegemonic Masculinity)
ได้รับการพัฒนาขึ้นในการศึกษาผู้ชายและความเป็นชายเชิงวิพากษ์
ความเป็นชายที่ชี้นำสังคม
แนวคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมเกิดขึ้นในความพยายามของคอนแนลล์ในการที่จะให้วิธีคิดอีกแบบหนึ่งต่อเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศภาวะและความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นชายกับอำนาจ
คอนแนลล์(1995)
นิยามความเป็นชายที่ชี้นำสังคมว่าคือรูปแบบการปฏิบัติทางเพศภาวะซึ่งก่อตัวขึ้นเพื่อการตอบคำถามต่อปัญหาเกี่ยวกับการมีอำนาจของระบบปิตาธิปไตย
ซึ่งยืนยันหรือใช้เพื่อการยืนยันตำแหน่งที่เหนือกว่าของผู้ชายและตำแหน่งที่ต่ำกว่าของผู้หญิง ความคิดดังกล่าวนี้ มองว่าความสัมพันธ์ที่สร้างระเบียบแห่งเพศภาวะมาจากสองลักษณะ
คือ หนึ่งการใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงจากฝ่ายหนึ่ง
และสองขบวนการสร้างอำนาจและทำให้อีกฝ่ายหนึ่งถูกเบียดขับ ในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์
จะมีรูปแบบของความเป็นชายลักษณะหนึ่งถูกให้คุณค่าเหนือกว่าแบบอื่นๆ ถึงแม้ว่าคอนแนลล์จะเห็นความสอดคล้องกันบางอย่างระหว่างอุดมคติทางวัฒนธรรมและอำนาจเชิงสถาบัน
แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดความคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมจะเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจมากที่สุด จากประเด็นนี้
จะเห็นว่าความเป็นชายที่ชี้นำสังคมจะเป็นเรื่องที่ไม่ปกติแต่เป็นเรื่องของบรรทัดฐาน
ซึ่งก่อตัวอยู่ในการแสดงความเป็นผู้ชาย
ความเป็นชายที่ชี้นำสังคมต้องการให้ผู้ชายทุกคนวางตำแหน่งตัวเองสัมพันธ์กับสิ่งนี้
และมันก็สร้างความชอบธรรมให้ผู้ชายในการกดทับผู้หญิง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
อุดมการณ์ที่ชี้นำอาจจะไม่สอดคล้องกับการมีชีวิตของผู้ชาย
แต่มันเป็นอุดมการณ์ที่ผู้ชายส่วนใหญ่อยากจะเห็น
ภายใต้ระเบียบของเพศภาวะ
ตามมุมมองเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคม คอนแนลล์ได้ชี้ให้เห็นความเป็นชายที่อยู่ชายขอบและถูกกดทับ
ซึ่งเกี่ยวโยงกับความเป็นชายที่ชี้นำสังคม คอนแนลล์อธิบายว่ากระบวนการเป็นชายขอบคือสิ่งที่สัมพันธ์กับกระบวนการสร้างอำนาจที่มาจากความเป็นชายแบบชี้นำของกลุ่มคนที่มีอำนาจ ดังนั้น จะเห็นว่านักกีฬาผิวดำคือตัวอย่างที่ชัดเจนของความเป็นชายที่ชี้นำสังคม
แต่ความร่ำรวยและชื่อเสียงของนักกีฬาไม่ได้เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติ
ผู้ชายผิวดำอีกจำนวนมากไม่สามารถมีสิทธิแบบนี้
ความเป็นชายที่ถูกกดทับจะสัมพันธ์กับการตีตราว่าเป็นคนเบี่ยงเบน
เช่น เกย์ ในขณะที่ความเป็นชายแบบชายขอบจะถูกอธิบายในเรื่องชนชั้น สีผิวและเชื้อชาติ
หรือชาติพันธุ์
ความเป็นชายที่ถูกกดทับหรือมีค่าต่ำคือสิ่งที่ใช้ท้าทายความหมายของความเป็นชายที่เป็นอุดมคติทางสังคม ความเป็นชายที่ไม่ได้รับการยอมรับจะมีความสำคัญน้อยกว่าความเป็นชายแบบอุดมคติ คอนแนลล์(1995) ทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งตายตัว
แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะในโครงสร้างความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป
การศึกษาของคอนแนลล์มีอิทธิพลอย่างสูง
แต่ก็ไม่ได้ปราศจากการวิจารณ์
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคอนแนลล์มักจะเป็นคนที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ความเป็นชายที่ชี้นำสังคม” เบสลีย์(2008)
ได้แยกแยะให้เห็นสิ่งที่คอนแนลล์อธิบายไว้ 3 ประการ คือ 1)กระบวนการเชิงการเมือง(นำความคิดของแกรมชีเรื่องอำนาจชี้นำที่กล่าวถึงการชี้นำเชิงศีลธรรมและวัฒนธรรม)
ซึ่งมีไว้เพื่อยืนยันว่ามวลชนจะเคารพกฎระเบียบ
2)รูปแบบความเป็นชายที่สังคมยกย่อง
(ส่วนใหญ่จะได้รับการแพร่หลายและมีอำนาจ) และ 3)กลุ่มของผู้ชาย เบสลีย์โต้แย้งว่าการเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ระหว่างความเข้าใจแนวคิดเรื่องอำนาจชี้นำที่ต่างกันนี้
ยังเป็นสิ่งที่คลุมเคลือ อย่างน้อยก็เป็นเพราะยังไม่มีการสร้างนิยามที่ชัดเจน
ปัญหาบางอย่างของแนวคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมคือการนำความคิดนี้ไปใช้อธิบาย นักวิจัยบางคนใช้แนวคิดนี้ไปอธิบายผู้ชายหรือกลุ่มผู้ชาย
(เช่น ความเป็นชายของผู้ชายที่เป็นชนชั้นปกครองหรือผู้มีอำนาจในสังคม)
มากกว่าจะอธิบายความสัมพันธ์เชิงอำนาจจากการชี้นำทางสังคม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การศึกษาแบบนี้มองไม่เห็นว่าเพศภาวะคือชุดของความสัมพันธ์เชิงอำนาจมากกว่าจะเป็นเพียงคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัวคน อุดมคติของความเป็นชายส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับความเป็นชายที่มาจากการศึกษาเพื่อยืนยันอำนาจที่เหนือกว่าของผู้ชาย
และการศึกษาที่ให้ความชอบธรรมแก่ผู้ชาย ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับเทิดทูนหรือการยอมรับทางสังคม จากเหตุนี้ทำให้เบสลีย์(2008)
เรียกร้องความจำเป็นในการแยกความเป็นชายออกจากตัวบุคคลที่มีอำนาจ ออกจากผู้ชายหรืออกจากคุณลักษณะส่วนตัวของบุคคล
ลูเชอร์และโรบินส์ (2009)
ชี้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายในการมองเพศภาวะในฐานะเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจเมื่อเทียบกับการมองว่าเพศภาวะคือคุณสมบัติส่วนบุคคล
แนวโน้มที่จะนำเอาความเป็นชายที่ชี้นำสังคมไปเทียบกับผู้ชายที่มีอำนาจ
ถูกตอกย้ำโดยการใช้คำว่า “ความเป็นชายที่ชี้นำสังคม” แบบเอกเทศ
ในขณะที่การศึกษาเชิงความสัมพันธ์จะทำให้เห็นยุทธวิธีที่ซับซ้อนและเป็นไปตามบริบท
คอนแนลล์และคนอื่นๆก็มองว่าความเป็นชายที่ชี้นำสังคมมีเพียงแบบเดียวในประวัติศาสตร์ ดังนั้น ปัญหาเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมก็คือ
ความคิดนี้วางอยู่บนความเชื่อเรื่องโครงสร้างที่ถาวรมากกว่าจะมองเป็นยุทธวิธีของการชี้นำซึ่งมีอยู่ในความขัดแย้ง
การก่อตัวทางสังคมและความตึงเครียดระหว่างผู้ชายกับรูปแบบการชี้นำต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ชายปฏิบัติตัวทางสังคม ความคิดดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นประโยชน์ในการคิดเกี่ยวกับการต่อสู้แข่งขันที่ผู้ชายถูกทำให้มีอำนาจในระบบปิตาธิปไตย
แต่ก็ยังมองไม่เห็นความซับซ้อนของความเป็นชายและวิธีการที่ความเป็นชายแบบต่างๆมาเกี่ยวโยงกัน
ถึงแม้ว่าแนวคิดของคอนแนลล์จะยืนยันในเรื่องตำแหน่งที่สูงกว่าของความเป็นชาย
ซึ่งผู้ชายบางคนจะแสดงอำนาจออกมา และผู้ชายอื่นๆมีอำนาจน้อยกว่า
แต่การเชื่อมโยงระหว่างความเป็นชายที่ชี้นำสังคมกับผู้ชายที่มีอำนาจก็ยังคงคลุมเคลืออยู่
เดมิทริอู(2001) วิจารณ์คอนนแนลล์ว่าความเป็นชายที่ชี้นำสังคมไม่ใช่วิธีการปฏิบัติของรักต่างเพศที่เป็นคนผิวขาวเท่านั้น
แต่มันเป็นความย้อนแย้งซึ่งนำเอาความเป็นชายแบบต่างๆมารวมกันเพื่อที่จะสร้างความมั่นคงให้กับระบบปิตาธิปไตย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
ความเป็นชายที่เป็นอุดมคติของสังคมกับความเป็นชายแบบชายขอบคือกระบวนการที่แลกเปลี่ยนกันไปมา
นักวิชาการท่าอื่นวิจารณ์ว่า
ถึงแม้จะเข้าใจในความสำคัญของช่วงชั้นทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ในการสร้างความเป็นชายแบบ
“ชายขอบ”
คอนแนลล์ก็ยังมองข้ามความซับซ้อนในประเด็นที่ความเป็นหญิงและชายถูกสร้างขึ้นและมีอยู่ในเรื่องของการกดทับ ความเป็นชายไม่ใช่แค่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง
แต่เป็นเรื่องความเกี่ยวโยงที่ซับซ้อนของเชื้อชาติ ชนชั้น เพศวิถี
ศาสนาและชาติพันธุ์ ถึงแม้ว่าความคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมของคอนแนลล์จะช่วยให้เราเริ่มต้นทบทวนความวับซ้อนเหล่านี้
แต่ก็ยังยากที่จะนำไปอธิบายสิ่งที่ไม่คงที่ของอัตลักษณ์ที่หลากหลาย
สิ่งนี้ทำให้นักวิชาการบางคนตั้งคำถามว่าแนวคิดของคอนแนลล์สอดคล้องกับความเข้าใจผู้ชายอื่นๆที่อยู่นอกบริบทแบบตะวันตกหรือไม่
ตัวอย่างเช่น อุซกาเนและมอร์เรลล์(2005) ออกมาเตือนในการนำเอาแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นชายแบบตะวันตกไปใช้ศึกษาผู้หญิงและผู้ชายในสังคมแอฟริกัน
ซึ่งมีเรื่องอายุเป็นดัชนีสำคัญในการตัดสินสิ่งต่างๆ
โอเซลล่าและโอเซลล่า(2006)
ศึกษาผู้ชายในอินเดียก็ปฏิเสธความคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคม
เพราะเป็นความคิดที่สนใจแต่เรื่องเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียว
การศึกษานี้เปิดเผยให้เห็นรูปแบบความเป็นชายที่เป็นอดุมคติ 2 รูปแบบ
แบบแรกคือความเป็นชายที่ใช้ควบคุมสังคม
และแบบที่สองคือความเป็นชายที่ตอบสนองครอบครัว การเข้าสังคม
และไม่ใช่พวกมังสวิรัติ
ทั้งสองอธิบายว่าแนวคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมไม่สามารถนำไปใช้อธิบายความเป็นชายในอุดมคติของอินเดียได้
ทั้งคู่ยังปฏิเสธแนวคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคม
และหันไปอธิบายเรื่องการมีอำนาจที่มาจากอุดมคติของความเป็นชายที่หลากหลาย แบนด์โยพัทธเย(2006)
ศึกษาเรื่องห้องขังชายในอินเดีย
อธิบายว่าแนวคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมไม่ได้วางอยู่คู่กับความเป็นชายที่ถูกกดทับ
แต่อยู่คู่กับความเป็นชายแบบอื่นๆที่พยายามแข่งขันซึ่งท้าทายความคิดที่ตายตัวเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคม แบนด์ยัทธเยยอมรับว่าความเป็นชายที่ชี้นำสังคมเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในความสัมพันธ์ที่มีต่อความเป็นชายที่ถูกกดทับและต่อผู้หญิง
เธอชี้ให้เห็นว่าในคุกชาย ความเป็นชายที่ชี้นำสังคมจะถูกท้าทายอย่างเข้มข้น
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องย้ายวิธีคิดเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับความเป็นชายที่ชี้นำสังคมไปสู่การวิเคราะห์ว่าความเป็นชายหลายๆแบบถูกสร้างขึ้นอย่างไรและการแสดงความเป็นชายที่ต่างกันนั้นถูกนำเสนอและถูกจัดระเบียบอย่างไรในชีวิตของผู้ชาย
นักวิชาการจำนวนมากเคยพิสูจน์มาแล้วว่าความเป็นชายไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ผู้ชายทุกคนมีเหมือนกัน
แต่มันแตกต่างกันในการทำความเข้าใจ ในประสบการณ์ และการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
แนวคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมมองเห็นโครงสร้างของความเป็นชายที่แยกระหว่างการเป็นชายขอบ
การถูกกดทับและการมีอำนาจ โดยมองไม่เห็นชีวิตจริงของผู้ชาย การมองว่าผู้ชายมีประสบการณ์ต่อเรื่องเพศภาวะอาจทำให้เห็นว่าผู้ชายที่อยู่ชายขอบจะมีความรู้สึกถึงอำนาจเมื่อสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น พริงเกิล(2005)
นำความคิดนี้มาสรุปว่าถึงแม้แนวคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมจะมีประโยชน์สำหรับทำความเข้าใจภาพใหญ่ๆ
แต่มันก็อาจมีปัญหาสำหรับการทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับปัจเจกบุคคล มอลเลอร์(2007) ให้คำแนะนำว่าความคิดเรื่องความเป็นชายที่ชี้นำสังคมลดทอนความสามารถของเราในการทำความเข้าใจวิธีการแสดงออกของความเป็นชายซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติตัวทางสังคมวัฒนธรรม
ในการสร้างความหมาย ในการสร้างกลุ่มและสร้างอารมณ์ความรู้สึก ถึงแม้ว่าคอนแนลล์จะยืนยันเสมอว่าธรรมชาติของระเบียบเพศภาวะและความเป็นชายที่ชี้นำสังคมมีการเปลี่ยนแปลง
แต่การมองแบบนี้มองไม่เห็นความเป็นชายที่ชี้นำสังคมจะถูกล้มล้างอย่างไร
การศึกษาของคอนแนล์อีกเรื่องหนึ่งพยายามสนใจการสร้างอำนาจชี้นำของความเป็นหญิง
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นชายและความเป็นหญิงจะเป็นแนวเรื่องที่คงเดิมในการศึกษาของคอนแนลล์และคนอื่นๆ
แต่ยังเห็นแนวโน้มที่จะมองความเป็นชายที่ชี้นำสังคมสัมพันธ์กับระบบปิตาธิปไตยและการมีอำนาจมากกว่าของผู้ชาย
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือคอนแนลล์ไม่ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความคิดเรื่องความเป็นชาย
และการแยกคุณลักษณะของผู้ชาย/เพศชาย/ความเป็นชาย
สิ่งนี้เป็นผลทำให้การศึกษาสนใจเฉพาะความเป็นชายของเพศชายอย่างเดียว
ผลก็คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายและความเป็นชายเป็นสิ่งที่คงอยู่ต่อไป
ในการตอบโต้คำวิจารณ์นี้ คอนแนลล์และคนอื่นๆเข้าใจว่าการศึกษายังไม่มีการพูดถึงบทบาทของผู้หญิงในการสร้างความเป็นชายที่ชี้นำสังคมมากนัก
และยังไม่สนใจบทบาทของสิ่งที่เรียกว่าความเป็นหญิงที่ชี้นำสังคม
แต่กลับไปเน้นเรื่องความเป็นหญิง
คอนแนลล์และเมซเซอร์ชมิดต์เรียกร้องให้ทำความเข้าใจสิ่งที่เป็นการปฏิบัติของผู้หญิงและการเกี่ยวข้องกันของความเป็นหญิงและชายในประวัติศาสตร์
และการดำรงอยู่ร่วมกันของความเข้าใจเกี่ยวกับช่วงชั้นของเพศภาวะ
เพื่อที่จะมองเห็นตัวตนของกลุ่มคนที่ถูกกดขี่พร้อมๆกับอำนาจของกลุ่มที่มีอำนาจ
และสภาพของพลวัตแห่งเพศภาวะและสังคม
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่ได้ละทิ้งทฤษฎีของคอนแนลล์แต่พยายามขยายแนวทางการวิเคราะห์เกี่ยวกับความเป็นชายที่ชี้นำสังคมออกไป นักวิชาการที่ใช้แนวคิดของบูร์ดิเยอเรื่อง “ความเป็นนิสัย”
มาเป็นแนวทางศึกษาบทบาทของการกระทำเชิงร่างกายในการสร้างเพศภาวะ ไลท์(2003) โต้แย้งว่าการมองเพศภาวะเป็นรูปแบบของสิ่งที่ตกผลึกจะช่วยให้เห็นการปกครองเชิงร่างกายเพื่อที่จะสร้างรูปแบบความเป็นชายที่มาจากชนชั้นและวัฒนธรรม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
ไม่เพียงแต่ร่างกายจะถูกจารึกด้วยวัฒนธรรมแล้ว แต่การใช้ร่างกายในการปฏิบัติทางสังคมวัฒนธรรมยังกำหนดรสนิยมและอุปนิสัยต่างๆที่สร้างพฤติกรรม
การปฏิบัติทางสังคม และการเข้าถึงทรัพยากร
การมองดูวิธีการที่อัตลักษณ์ของผู้ชายเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา
ทำให้นักวิชาการคนอื่นนำความคิดเรื่องการปฏิบัติการของการแสดงของบัตเลอร์มาใช้วิเคราะห์เรื่องความเป็นชาย
อีแวนส์(2005) กล่าวว่าความเป็นชายคืออัตลักษณ์ทางสังคมที่ถูกแสดงออก
มากกว่าจะเป็นสิ่งที่มีตัวตน ลำดับชั้นของการแสดงความเป็นชายกับการแสดงที่มีลักษณะพิเศษถูกนำมารวมกันในเรื่องความเป็นชายที่มีลักษณะพิเศษ
การที่บุคคลแสดงออกและการแสดงเหล่านั้นจะเป็นตัวบ่งบอกถึงตำแหน่งแห่งที่ของบุคคลในช่วงชั้นของความเป็นชาย
และตำแหน่งนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์
สำหรับผู้ชาย เช่นเดียวกับผู้หญิง ไม่เพียงแต่จะแสดงออกถึงเพศภาวะเท่านั้น
แต่ยังเป็นเรื่องของสิ่งที่แสดงออกซ้ำแล้วซ้ำอีก
มันคือการทำซ้ำและเป็นการแสดงในพื้นที่สังคม
ความคิดของบัตเลอร์ทำให้เรามองเห็นว่าความเป็นชายเป็นสิ่งที่ไม่คงที่
และเป็นแนวคิดที่ถูกสร้างจากสังคมซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาละเทศะ การมองแบบนี้จะทำลายคู่ตรงข้ามของเพศภาวะโดยการหันไปเน้นการศึกษาความเป็นชาย
และเปลี่ยนความสนใจไปสู่เรื่องการรื้อสร้างความคิดเรื่องเพศภาวะในฐานะเป็นความหลากหลาย
ความคิดดังกล่าวนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เห็นความเป็นชายของเพศหญิงและความเป็นหญิงของเพศชายเท่านั้น
แต่ยังทำให้เกิดการตรวจสอบว่าผู้ชายต่อรองกับความเป็นชายในชีวิตประจำวันอย่างไร
ในขณะที่แนวคิดเรื่องการปฏิบัติการของการแสดงช่วยให้เข้าใจอัตลักษณ์แห่งเพศภาวะที่ลื่นไหล
แต่การศึกษาเรื่องความเป็นชายที่ต่อสู่แข่งขันกันและมีความหลากหลายก็เสี่ยงต่อการมุ่งอธิบายว่าผู้ชายจะมีประสบการณ์ของความเป็นชาย
การวิจัยทางชาติพันธุ์ชี้ให้เห็นว่า สำหรับผู้ชายหลายคน “ความเป็นชาย”
เป็นแนวคิดที่แปลกหู และเมื่อนักวิชาการขอให้พูดถึงความเป็นชาย พวกเขาก็นึกไม่ออกว่าจะอธิบายสิ่งนี้อย่างไร
ความคิดเกี่ยวกับ “วิธีการเป็นผู้ชาย” ยังเป็นเรื่องที่เข้าใจได้มากกว่า ถึงแม้ทางวิชาการจะมีการสนใจเรื่องอัตลักษณ์ที่หลากหลายและลื่นไหล
แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ยังอธิบายเพศภาวะของตัวเองในฐานะที่เป็นสิ่งคงที่และมีเอกภาพ ในการศึกษาผู้ชายอพยพในออสเตรเลีย
โดนัลสันและฮอว์สัน(2009)อธิบายว่าผู้ชายคิดว่าความเป็นชายของตนเป็นสิ่งที่ถาวรชัดเจน
เชื่อถือได้ ไม่เปลี่ยนแปลง คงทนและนำติดตัวไปได้ มากกว่าจะคิดว่ามันคือตัวเขา ในขณะที่ประสบการณ์ของการอพยพอาจจะท้าทายสำนึกแห่งอัตลักษณ์ของผู้ชาย
พวกเขาก็ยังมองเห็นและตอบสนองต่อแบบแผนความเป็นชายอย่างที่เขาคุ้นเคย
สิ่งนี้บ่งบอกว่าเราจำเป็นต้องมองข้ามความเป็นท้องถิ่นเพื่อที่จะเข้าใจปฏิบัติการเชิงโครงสร้างที่คอยกำกับกฎระเบียบของเพศภาวะในระดับสากล
โลกาภิวัตน์ของความเป็นชาย
ความสนใจในเรื่องโลกาภิวัตน์คืออีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้การศึกษาความเป็นชายของคอนแนลล์ยังคงดำเนินต่อไป คอนแนลล์ยืนยันว่า “ระเบียบของเพศภาวะของโลก”
ยังมีอยู่ซึ่งเกี่ยวข้องกับระเบียบแห่งเพศภาวะของสังคมท้องถิ่นที่วางอยู่บนมาตรวัดของโลก คอนแนลล์อธิบายว่ามีสิ่ง 2 สิ่งที่เชื่อมโยงกันซึ่งทำให้เกิดระเบียบแห่งเพศภาวะสากล
อย่างแรกคือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างระเบียบของเพศภาวะซึ่งมาสัมพันธ์กัน (ระเบียบที่มาพร้อมกับลัทธิจักรววรดินิยม,
ลัทธิอาณานิคมใหม่, โลกาภิวัตน์และการอพยพของแรงงาน) และประการที่สอง การสร้างพื้นที่ข้ามชาติแบบใหม่
(เช่น ความร่วมมือกันระหว่างชาติต่างๆ ตัวแทนของรัฐและสื่อระดับสากล) ระเบียบแห่งเพศภาวะที่เป็นสากล ซึ่งถูกอธิบายด้วยการจัดระเบียบสังคมโดยปิตาธิปไตย
ถูกกำกับโดยการสร้างความเป็นชายของจักรวรรดิและการปกครองของตะวันตก
และสร้างมาจากลัทธิเสรีนิยมใหม่และลัทธิหลังอาณานิคม
คอนแนลล์มองว่าประวัติศาสตร์โลกและกระบวนการโลกาภิวัติในปัจจุบันคือสิ่งที่จะทำให้เราเข้าใจความเป็นชาย
เพราะสองสิ่งนี้เชื่อมโยงกัน มีปฏิสัมพันธ์กันและมีความไม่เท่าเทียม มีความปั่นป่วนของความสัมพันธ์ของเพศภาวะ
พร้อมกับการเข้าถึงโลกและผลกระทบที่ไม่เท่ากัน
สิ่งนี้คือบริบทที่เราต้องคิดเกี่ยวกับการสร้างและการออกกฎของความเป็นชาย
ความคิดเกี่ยวกับระเบียบเพศภาวะของโลกบ่งบอกให้ทราบว่าความเป็นชายที่ชี้นำสังคมเป็นความคิดที่มีหลายระดับซึ่งปรากฎอยู่ทั้งในระดับท้องถิ่น
ระดับภูมิภาคและระดับสากล และความเป็นชายในแต่ละระดับก็เชื่อมถึงกันและมีอิทธิพลต่อกัน คอนนแนลล์และมาสเซอร์ชมิดต์(2005)
ชี้ว่าความเป็นชายที่ชี้นำสังคมในระดับภูมิภาคทำให้เกิดรูปแบบความเป็นชายที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างความสัมพันธ์ทางเพศภาวะและความเป็นชายที่ชี้นำสังคมที่มีอยู่ในท้องถิ่น ทั้งคู่ยังชี้ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
การอพยพย้ายถิ่นและนโยบายการพัฒนา
มีส่วนกำกับแบบแผนของความเป็นชายและหญิงในท้องถิ่น
ซึ่งชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นชายระดับภูมิภาคกับระดับท้องถิ่น กล่าวคือ
ความหลากหลายของท้องถิ่นคือคู่ต่อสู้กับความเป็นหนึ่งเดียวของความเป็นชายที่ชี้นำสังคมที่ปรากฎอยู่ในภูมิภาคหรือในสังคมระดับใหญ่
ความเหมือนกันของครอบครัวที่มีอยู่ในท้องถิ่นต่างๆจะถูกแสดงออกโดยสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่มีอยู่ในระดับภูมิภาค
แต่จะไม่ถูกแสดงโดยตัวแบบที่หลากหลาย
ความเป็นชายระดับสากลถูกหล่อหลอมอยู่ในระเบียบเพศภาวะของโลกซึ่งให้สิทธิแก่ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในขณะที่มีข้อยกเว้นในระดับท้องถิ่น ผลพวงจากระบบปิตาธิปไตยทำให้ผู้ชายสามารถเข้าถึงอำนาจได้เช่นเดียวกับการมีสิทธิทางเพศและทางวัฒนธรรม กระบวนการโลกาภิวัตน์ได้สร้างสภาพที่เอื้อให้กับการสร้างความเป็นชายที่ชี้นำสังคมในระดับโลก
รูปแบบของความเป็นชายที่ชี้นำซึ่งก่อตัว ปฏิบัติการ และจัดระเบียบการมีอำนาจของผู้ชายจะมีในระเบียบแห่งเพศภาวะระดับโลก
คิมเมลอธิบายในทำนองเดียวกันว่ากระบวนการโลกาภิวัตน์คือการเปลี่ยนความเป็นชายและทำให้ชีวิตของผู้ชายเปลี่ยนโฉมหน้าไป
คิมเมลยืนยันว่าแบบแผนของความเป็นชายจะก่อตัวขึ้นในสถาบันแห่งเพศภาวะ
โดยกล่าวว่าสิ่งนี้เป็นตัวแบบของความเป็นชายที่ชี้นำสังคมในระดับโลก
ซึ่งสวนทางกับความเป็นชายระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาคและระดับชาติซึ่งมีการแสดงออกและอ้างถึงมากขึ้น กระบวนการโลกาภิวัตน์และการมาถึงของความเป็นชายที่ชี้นำสังคมระดับโลกมีผลกระทบของการต่อต้านจากเพศภาวะระดับชาติ
ระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น
เพราะกลัวจะตกเป็นเหยื่อของอำนาจที่มาจากระดับโลก
ความคิดของคิมเมลที่ว่าเพศภาวะกำลังเรื่องสำคัญสำหรับการต้านทานกระบวนการโลกาภิวัตน์
คล้ายๆกับความคิดของเดอร์นี(2002,2005) ซึ่งศึกษาผู้ชายอินเดียทางภาคเหนือและผู้ชายในฟิจิ
ชี้ให้เห็นว่าเพศภาวะได้รับผลกระทบทั้งจากอิทธิพลข้ามชาติและการจัดการของท้องถิ่น เดอร์นีพบว่าผู้ชายอินเดียสนใจการนำเสนอความเป็นชายจากสื่อต่างชาติ
ซึ่งในเวลาเดียวกันผู้ชายอินเดียก็เอาตัวออกห่างจากการนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ของผู้หญิงในสื่อต่างชาติ ความคิดนี้สนับสนุนความคิดของคอนแนลล์ที่ว่าอำนาจของโลกาภิวัตน์ที่ท้าทายอัตลักษณ์และอำนาจของผู้ชาย
ทำให้ผู้ชายยืนยันช่วงชั้นและอำนาจของเพศภาวะในท้องถิ่น ตรงข้ามกับฮูเปอร์(2000)
ซึ่งไม่ได้มองว่าโลกาภิวัตน์จะมาทำให้ระเบียบแพศภาวะแบบปิตาธิปไตยเปลี่ยนแปลง
ฮูเปอร์ชี้ว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่และการแบ่งแรงงานแบบใหม่อาจจะทำลายบทบาทหัวหน้าครอบครัวของผู้ชายและทำให้ความเป็นชายที่ชี้นำสังคมอ่อนตัวลง
นักวิชาการหลายคนเคยวิจารณ์ต่อการยืนยันเกี่ยวกับระเบียบโลกที่เป็นเพศภาวะ
สิ่งที่มีการพูดถึงคือความหมายต่างๆที่มาพร้อมกับแนวคิดเรื่องโลกาภิวัตน์
เช่นอะไรที่กำหนดพรมแดนของโลก โลกอยู่ตรงไหน ถ้าเราเชื่อว่ามีโลก
และความเป็นชายที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นคืออะไร
นักวิชาการคนอื่นวิจารณ์เรื่องนี้โดยมองไปที่ระดับชุมชนและแย้งว่าการศึกษาเรื่องโลกาภิวัตน์ของคอนนแนลล์วางอยู่บนความเข้าใจอย่างจำกัดเกี่ยวกับท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น
ลูอี(2003)วิจารณ์คอนแนลล์ที่มองหาการศึกษาระดับโลกต่อการอธิบายความเป็นชาย
ซึ่งในการสร้างแนวคิดเรื่องความเป็นชายระดับโลก ทำให้คอนแนลล์มองไม่เห็นความสำคัญของตัวแปรในท้องถิ่นและปฏิสัมพันธ์ที่เกิดในท้องถิ่น
ลูอีอธิบายว่าสิ่งที่ตามมาจากการอธิบายของคอนนแนล์เรื่องระเบียบเพศภาวะระดับโลก
ก็คือ ทำให้เกิดพื้นที่วิจัยที่น่าตื่นเต้น
ซึ่งมีการเปรียบเทียบความเป็นชายในวัฒนธรรมต่างๆในเอเชีย สิ่งนี้นำไปสู่การจัดหมวดหมู่โดยปัจจัยของโลกาภิวัตน์ เรายังต้องเปลี่ยนพื้นที่ของนักวิจัยใหม่
ในขณะที่เรายินดีกับวิสัยทัศน์แบบนานาชาติ เราก็ยังเชื่อว่าพื้นฐานของความเข้าใจความเป็นชายในท้องถิ่นยังเป็นสิ่งจำเป็น
ลูอีไม่ได้มองข้ามความสำคัญของกระบวนการโลกาภิวัตน์ต่อการศึกษาผู้ชายและความเป็นชาย
และมองว่ากระบวนการสร้างความผสมผสานจะมีอยู่ในส่วนผสมของวัฒนธรรมที่แตกต่างกันซึ่งจะสร้างความเป็นชายในระดับโลก แต่ลูอีโต้แย้งว่า
การศึกษาของคอนแนลล์ในเรื่องความเป็นชายระดับโลกคือความคิดจากตะวันตก
สำหรับลูอีมองว่าการทำความเข้าใจโลกจะต้องวางอยู่บนความรู้ของท้องถิ่น ฮิบบิ้นคิดเช่นเดียวกับลูอี โดยมองว่ามีความลำเอียงทางชาติพันธุ์ที่ปรากฎอยู่ในความพยายามที่จะจัดหมวดหมู่ของความเป็นชายที่ชี้นำสังคมระดับโลก
เขากล่าวว่าสิ่งนี้จะทำให้เรามองข้ามความหลากหลายและความแตกต่าง
มันจะทำลายสิ่งที่จะเป็นรูปแบบที่แตกต่างของความเป็นชายที่พบในวัฒนธรรมต่างๆ
และจะทำลายอำนาจของความเป็นชายที่ถูกเบียดขับและถูกกดทับออกไป
ลูอีและฮิบบิ้นชี้ว่ามีความจำเป็นสำหรับการวิเคราะห์การแสดงความเป็นชายของท้องถิ่นในบริบทที่ไม่ใช่ตะวันตก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาเตือนว่าการวิเคราะห์ดังกล่าวไม่ควรนำเอาความคิดเรื่องความเป็นชายแบบตะวันตกมาใช้แบบผิวเผินหรือเปรียบเทียบความแตกต่างของความเป็นชายอย่างหยาบๆ การศึกษาของลูอีเกี่ยวกับความเป็นชายของชาวจีนทำให้เห็นว่ารูปแบบเพศชายที่ฉลาดจะครอบงำผู้ชายที่มีผิวคล้ำและบึกบึน กระบวนทัศน์แบบตะวันตกเกี่ยวกับความเป็นชายจึงไม่เหมาะกับการศึกษาชาวจีน
เพราะจะทำให้เห็นว่าผู้ชายจีนไม่ใช่ชายแท้
เนื่องจากผู้ชายจีนไม่ปฏิบัติตัวตามแบบความเป็นชายอย่างตะวันตก
การเชื่อมโยงความเป็นชายกับตัวแบบของตะวันตก
ทำให้นักวิชาการบางคนชี้แนะว่าแนวคิดตะวันตกที่ไม่ค่อยสำคัญในสังคมอื่น เฮย์วู้ด(2007)
เตือนว่าในขณะที่แนวคิดเรื่องความเป็นชายน่าเชื่อถือในตะวันตก
มันอาจจะไม่น่าเชื่อถือสำหรับการศึกษาในสังคมอื่น
บริบททางวัฒนธรรมที่ต่างกัน
ทำให้เราต้องระมัดระวังที่จะไม่นำเอาความคิดแบบจักรวรรดินิยมมาใช้ซึ่งการจัดหมวดหมู่จะถูกนำไปใช้กับสังคมอื่น ทางเลือกอื่นในการสร้างกระบวนทัศน์และการตั้งคำถามจะต้องมาจากบริบททางวัฒนธรรมนั้นๆ การวิจัยแนวนี้จะท้าทายความคิดเกี่ยวกับผู้ชาย ความเป็นชาย
และเพศวิถีแบบเหมารวม สิ่งนี้ไม่ได้บอกว่าการวิจัยแนวนี้จะเปิดเผยพื้นที่ที่ยังไม่เคยแปดเปื้อน
เป็นไปไม่ได้ที่จะรับรู้โลกของความไม่ใช่ตะวันตกแบบสวยงามบริสุทธิ์
หรือปราศจากปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมทางประวัติศาสตร์
แต่การศึกษาต้องชี้ให้เห็นลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นในณะเดียวกันก็มองเห็นปฏิสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกับระดับโลก
การศึกษานี้จะมีการวิเคราะห์วิธีการที่ความเป็นชายถูกจัดระเบียบโดยการเกี่ยวโยงถึงลัทธิจักรวรรดินิยม
ลัทธิอาณานิคม การสร้างชาติและโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน การวิจัยข้ามวัฒนธรรมจะช่วยอธิบายเรื่องกระบวนการเหล่านี้โดยแสดงให้เห็นว่าการจัดประเภทของเพศภาวะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นอย่างไร