“ตัดทิ้ง” แล้ว
“สร้างใหม่” :
ตรรกะของการแปลงเพศและความสวย
เขียนโดย ดร.เจย์ พรอสเซอร์ (1998)
แปลและเรียบเรียงโดย ดร.นฤพนธ์
ด้วงวิเศษ
บทกวีของชารอน
โอลด์ เรื่อง Outside
the Operating Room of the Sex-Change Doctor สะท้อนให้เห็นเรื่องราวขององคชาตที่ถูกตัดทิ้ง
ซึ่งเป็นเศษชิ้นส่วนร่างกายที่เกิดจากการผ่าตัดแปลงเพศ ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนกับการทารุณกรรมมนุษย์ในแบบอื่นๆที่โลกเคยรู้จักมา
แต่การตัดองคชาตที่ดูน่าสยดสยองในที่นี้ก็ถูกเล่าด้วยบทกวีที่ชี้ให้เห็นความโหดร้ายน่ากลัว
จนแทบมองไม่เห็นว่ามันคือการผ่าตัดแปลงเพศ ภาพลักษณ์ขององคชาตที่ถูกตัดทิ้งในบทกวีไม่ได้บ่งชี้ว่ามันคือการผ่าตัดร่างกายจากชายไปเป็นหญิง
(ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การผ่าตัดแบบนี้เป็นการตัดเฉพาะอัณฑะ
จะมิใช่การตัดองคชาต
แต่หนังที่อยู่รอบๆองคชาตจะถูกชำแหละออกเพื่อนำไปเป็นเนื้อเหยื่อของโยนีที่จะถูกสร้างขึ้นใหม่)
แต่บทกวีนี้นำเสนอเรื่องราวการผ่าตัดแปลงเพศในฐานะเป็นการเปลี่ยนความหมาย เป็นการทำลายการมีเพศมากกว่าจะเป็นการทำให้
“เกิดเพศ” บทกวีนี้ไม่ได้สนใจร่างกายที่เกิดขึ้นใหม่ของคนที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศ
แต่สนใจอวัยวะเพศที่ถูกตัดทิ้งไป “ร่างกาย” ที่ถูกเล่าในบทกวีนี้ทำให้องคชาตที่ถูกตัดทิ้งไปแล้วมีชีวิตใหม่ขึ้นมาอีก
กล่าวคือ องคชาตที่ถูกตัดทิ้งจะเป็นภาพสะท้อนความคิดของคนที่เคยเป็นเจ้าขององคชาตนั้น
ราวกับว่าองคชาตกำลังพูดแทนเจ้าของที่ตัดมันทิ้ง ราวกับว่า “ความจริง”
ของตัวตนไม่ได้อยู่ในร่างกายใหม่ของคนผ่าตัดแปลงเพศ แต่อยู่กับอวัยวะเพศที่ถูกตัดทิ้งไปแล้ว
และราวกับว่าองคชาตคือประจักษ์พยานของ “เพศที่แท้จริง” ของคนที่แปลงเพศแล้ว
จากคำอธิบายนี้ทำให้เข้าใจว่ามีกระบวนการตีตราคนที่แปลงเพศ และมีความเข้าใจที่คาดเคลื่อนปรากฎอยู่ในเรื่องการผ่าตัดแปลงเพศ
ความเข้าใจที่ว่านั่นคือ
การแปลงเพศจะเป็นเรื่องของการตัดอวัยวะของร่างกายที่โหดร้าย ซึ่งการผ่าตัดแปลงเพศไม่ได้ทำให้เกิดการมีเพศใหม่
แต่จะเป็นการทำให้ชายและหญิงกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไร้เพศโดยผ่านการตัดอวัยวะเพศที่ธรรมชาติสร้างมาให้
ไม่ต้องแปลกใจเลยที่การผ่าตัดแปลงเพศคือ
“ตัวการ” ที่ทำให้สังคมมองว่าการแปลงเพศเป็นเรื่อง “ผิดธรรมชาติ”
ในจินตนาการทางวัฒนธรรม
ตรรกะของการตัดอวัยวะ คือ เมื่อร่างกายถูกผ่าตัดแล้ว
มันจะไม่ถูกทำให้บาดเจ็บหรือเสียรูปทรง แต่การผ่าตัดนั่นแหละจะถูกทำให้เสียหายเสียเอง การผ่าตัดแปลงเพศแตกต่างจากการผ่าตัดเพื่อการเยียวยารักษา
ในแง่ที่ว่าการแปลงเพศไม่ใช่การแก้ปัญหาความผิดปกติของร่างกายเหมือนกับการผ่าตัดแบบอื่นๆที่ไม่ใช่การผ่าตัดตามปกติ
การผ่าตัดแปลงเพศจะเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องอวัยวะเพศโดยตรง
ซึ่งทำให้การผ่าตัดแปลงเพศเป็นการทำให้ร่างกายที่สมบูรณ์ต้องเสียโฉมไป ความเกี่ยวโยงระหว่างการผ่าตัดแปลงเพศกับเรื่องความสวยงาม
เอื้อให้บริษัทประกันด้านสุขภาพหลายแห่งพยายามจัด “การผ่าตัดแปลงเพศ”
ให้อยู่ในกลุ่มการรักษาโรคชนิดหนึ่งซึ่งถูกควบคุมโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์อเมริกัน
โดยชี้ว่าความเจ็บป่วยต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ หากมองเชิงประชดประชัน
จะพบว่าความคิดเรื่องการแปลงเพศที่ถูกมองว่าเป็น “เรื่องเล็กๆ” และเป็นแค่ “การตัดอวัยวะ”
ได้ผนวกรวมเข้ากับความคิดเรื่องศัลยกรรมความงามย่างแนบเนียน จากการศึกษาของแคธี เดวิส พบว่าการศัลยกรรมความงามถูกประเมินว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีความสำคัญมากในทางการแพทย์
ในขณะที่การทำศัลยกรรมเพื่อแก้ไขความบกพร่องทางร่างกาย
ซึ่งเริ่มต้นมาจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้ในสงครามในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
ได้รับการยอมรับในฐานะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการแก้ไขร่างกายที่ไม่สมประกอบหรือพิการ ส่วนศัลยกรรมความงามถูกมองว่าเป็นมาตรการสำหรับการปรับปรุงความสวยงามให้กับร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้ว
การประเมินศัลยกรรมความงามให้ต่ำกว่าการทำศัลยกรรมแบบอื่นๆ เห็นได้จากการใช้คำว่า
“ความงาม” คำๆนี้แตกต่างจากคำว่า “ความบกพร่อง”
ถึงแม้ว่าวิธีการที่ใช้กับศัยกรรมความงามและศัยลกรรมเพื่อแก้ไขความบกพร่องจะเหมือนกัน
แต่คำว่า “ความงาม” ก็สื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ไม่สำคัญทางการแพทย์
ราวกับว่าศัลยกรรมความงามเข้าไปเกี่ยวข้องเฉพาะ “พื้นผิว” ของสิ่งที่เป็นตัวตน
ศัลยกรรมความงามจึงถูกมองในฐานะเป็น “สิ่งที่อยู่พื้นผิว”
เมื่อศัลยกรรมความงามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอวัยวะที่เป็นพื้นผิว
(ชนเผ่าแอนซิอูเชื่อว่าตัวตนของมนุษย์ดำรงอยู่บริเวณผิวหนัง) ดังนั้น มิติของการผ่าตัดเพื่อแก้ไขความบกพร่องที่ปรากฎอยู่ในการผ่าตัดแปลงเพศ
(การจัดระเบียบเต้านมและอวัยวะเพศใหม่ และทำให้ผิวหนังของอวัยวะเหล่านั้นเปลี่ยนรูปร่างไป)
ก็คือการทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม
ในกรณีของการทำศัลยกรรมความงาม
เดวิสวิเคราะห์ว่าเหตุผลของการผ่าตัดเพื่อปรับแก้โครงสร้างร่างกายเป็นเรื่องของจิตใจและความรู้สึกมากกว่า การรับรู้ถึงการมีอัตลักษณ์ที่คาดหวังถึงการปรับแต่งพื้นผิวของร่างกาย
เป็นการรับรู้ตัวตนผ่านผิวหนัง ผิวหนังในที่นี้เป็นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไปในร่างกาย
การผ่าตัดแปลงเพศคือจินตนาการของการทำให้ร่างกายกลายเป็นตัวตนของคนๆนั้น
แต่ตัวตนนี้จะดำรงอยู่บนพื้นผิวหนัง ถ้าการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของร่างกายเป็นเรื่องที่ปรากฎขึ้นบริเวณผิวหนัง
ดังนั้นการผ่าตัดแปลงเพศก็จะเปรียบเสมือนการปลดปล่อยบางสิ่งออกจากผิวหนังนี้
จากคำบอกเล่าของธอมป์สันผู้ที่เคยผ่าตัดเอาเต้านมออก เขาบอกว่า “เต้านมเป็นเหมือนเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไม่สบายตัว น่ารำคาญ พอตัดมันทิ้ง ฉันก็เป็นตัวของตัวเอง” เช่นเดียวกับมาร์ติโน
ที่เคยผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงไปเป็นชาย เปรียบเปรยว่า “เต้านมไม่ใช่ตัวตนของฉัน” เต้านมเสมือนเสื้อผ้าที่สวมทับบนตัวตนที่เป็นร่างกายภายนอกซึ่งจะถูกตัดทิ้งไป
“ฉันตื่นมาด้วยความงัวเงียหลังจากเสร็จการผ่าตัด
และสงสัยว่าเต้านมที่ไม่น่ามองนั้นยังอยู่บนร่างกายของฉันหรือเปล่า” การสร้างเพศชายจากผิวหนังที่ถูกทำใหม่โดยการตัดเต้านมทิ้งไป
ช่วยทำให้เขาเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอิสระมากกว่าเดิม ทั้งมาร์ติโนและธอมป์สันอธิบายว่าความสบายหลังจากการผ่าตัดก็คือพวกเขาไม่ต้องเอาผ้ามารัดเต้านมและซ่อนมันไว้ในเสื้ออีกต่อไป ประสบการณ์ทางสรีระของการได้สวมใส่สิ่งห่อหุ้มน้อยชิ้นลง
เป็นผลมาจากการตัดเต้านมทิ้งและทำให้ร่างกายที่ไร้เต้านมสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ
ภาพลักษณ์ของร่างกายเป็นทั้งผลลัพธ์และต้นเหตุของประสบการณ์ทางสรีระ
การทำศัลยกรรมทำให้ร่างกายเปลือยเปล่าเหมือนกับที่มันเคยเป็น
เรื่องเล่าของคนแปลงเพศได้จารึกเหตุการณ์เกี่ยวกับการผ่าตัดแปลงเพศว่าเปรียบเสมือนการกลับบ้าน
เป็นการเดินทางผ่านร่างกายเพื่อที่จะมีตัวตน
ในกรณีที่คนแปลงเพศไม่สามารถสร้างตัวตนบนร่างกายได้
การผ่าตัดจะเข้ามาช่วยสร้างสิ่งที่ “ไม่ใช่ตัวตน” ให้กลายเป็นตัวตนที่คนๆนั้นต้องการ
เสมือนกับการบูรณะฟื้นฟูร่างกายที่
“เหมาะสม” หลังจากที่คนข้ามเพศอยู่ในร่างที่ผิดที่ผิดทาง
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทำให้เรื่องเล่าของคนแปลงเพศดูสมเหตุสมผลขึ้นมาได้ หากมองต่างออกไป
จะพบว่าเรื่องราวของคนแปลงเพศคือสิ่งท้าทายความเชื่อเดิมๆเกี่ยวกับการตัดอวัยวะซึ่งคนแปลงเพศมองว่านั่นคือการปรับแต่งร่างกาย
การพูดถึงภาพลักษณ์ของร่างกายที่ครบถ้วนและการสร้างร่างกายใหม่คือคำอธิบายเกี่ยวกับการผ่าตัดแปลงเพศและผลของการผ่าตัด
เช่น “ฉันมีความสุข ในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จ” “ฉันเป็นในสิ่งที่เป็น”
“ชีวิตใหม่ในร่างกายของผู้ชายที่สมบูรณ์”
การอุดช่องว่างนี้คือการเอาส่วนเกินออกไป การผ่าตัดแปลงเพศทำให้ภาพลักษณ์ของร่างกายของคนแปลงเพศดูสมจริงมากขึ้น คิม ฮาร์โลว์ ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงอธิบายว่าการผ่าตัดช่วยทำให้เธอมีตัวตนที่สมบูรณ์และจับต้องได้จริงเหมือนเป็นร่างกายของผู้หญิง ก่อนการผ่าตัดแปลงเพศ
คิมเคยคิดว่าเธออยากจะตัดทิ้งส่วนล่างของร่างกายตั้งแต่เอวลงไป เมื่อใกล้จะผ่าตัด
เธอคิดถึงแต่เรื่องการผ่าตัดและไม่ได้นึกถึงอวัยวะเพศหญิงที่เธอต้องการ
“เมื่อการผ่าตัดยังไม่พร้อม ฉันก็ยังเป็นคนที่ไร้เพศ” หลังจากการผ่าตัด
ร่างกายของเธอถูกหุ้มด้วยผ้าพันแผล
เธอยังมองไม่เห็นอวัยวะเพศหญิงที่ถูกสร้างขึ้นใหม่
เวลานั้นคิมเริ่มคิดเป็นครั้งแรกว่า
“ร่างกายเปลือยของเธอจะมีอวัยวะเพศหญิงปรากฎอยู่” การผ่าตัดมีส่วนต่อการสร้างภาพลักษณ์ของร่างกาย
และในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้เห็นว่ามีอวัยวะบางส่วนของร่างกาย “หายไปแล้ว”
สิ่งที่ทำให้คนแปลงเพศสามารถจอมจำนนต่อคมมีดได้ ก็คือแรงขับที่อยากจะมีร่างกายใหม่
ร่างกายที่เขาอยากจะเป็นตามความคิด
สิ่งที่ทำให้การผ่าตัดแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องราวของการเยียวยารักษาก็คือการสร้างความทรงจำทางร่างกายของคนแปลงเพศ
การผ่าตัดทำให้เกิดสำนึกของการจดจำขึ้นมาใหม่
ซึ่งการจดจำนี้เป็นแรงขับที่พบเห็นได้ทั่วไปในการทำศัลยกรรมเพื่อแก้ไขความบกพร่องของร่างกายในคนไข้ที่ไม่ใช่คนแปลงเพศ
และบางทีแรงขับนี้จะมีอยู่ในความคิดเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมเพื่อการปรับปรุงแก้ไขอวัยวะต่างๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูก
ไปจนถึงการผ่าตัดแก้ไขรูปร่างของเต้านม
ตัวตนของผู้ที่ถูกผ่าตัดจะปรากฎอยู่ในการผ่าตัดราวกับว่ามันคือร่างกายในอุดมคติที่มีอยู่ในอดีต ตัวอย่างเช่น ลูซี เกรียลี
อธิบายถึงกระบวนการผ่าตัด 30
ครั้งเพื่อแก้ไขสภาพใบหน้าที่เป็นมะเร็งของเธอว่าเปรียบเสมือน
“การเดินทางบนใบหน้า” เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนใบหน้าที่ไม่สามารถเจริญเติบโตได้อีกแล้ว
เพราะตอนที่เธอเป็นเด็ก ฟันกร้ามของเธอถูกถอนออกไปหมด การบันทึกเรื่องราวชีวิตของลูซีที่สนใจการแก้ไขร่างกายที่ไม่สมประกอบ
(หรือใบหน้าที่ไม่สมประกอบ) มากกว่าที่จะสนใจเรื่องทางการแพทย์ที่ช่วยแก้ไขใบหน้า
ทำให้ประสบการณ์ของลูซีใกล้เคียงกับชีวิตของคนแปลงเพศ กล่าวคือ
ลูซีถูกขังอยู่ในร่างของตัวเอง เธอรู้สึกอับอายและรู้สึกแปลกแยกจากภาพลักษณ์ของตัวเอง เธอต้องการดิ้นรนไปสู่สิ่งสมบูรณ์แบบ
และสิ่งที่คนแปลงเพศต้องการในความทรงจำเกี่ยวกับร่างกายอาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้พิเศษอะไร
ความทรงจำเป็นสิ่งสำคัญต่อการที่เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายของเราเอง
การศึกษาของแซ็คเรื่อง “อวัยวะที่ลวงตา” ได้ชี้ว่าความทรงจำเกี่ยวกับร่างกายเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างภาพลักษณ์เกี่ยวกับร่างกาย อวัยวะที่ลวงตา (เช่น คนแปลงเพศ
และปรากฎการณ์ที่ภาพลักษณ์ของร่างกายไม่สอดคล้องกับสรีระที่มีอยู่จริง)
อาจเปรียบเสมือนเป็นความทรงจำของอวัยวะที่ถูกทำลายไปแล้ว
เป็นความรู้สึกเกี่ยวกับการมีอยู่ของปัจจุบันซึ่งยังคงตกค้างอยู่ในสิ่งที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว
การศึกษาเรื่องการสร้างภาพลวงตา (Phantomization)
ช่วยเปิดเผยให้เห็น “ร่างกาย”
ที่ดำรงอยู่ในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะไม่ลืมภาพลักษณ์ของร่างกายที่เคยเป็นมาดั้งเดิม การสร้างภาพลวงตาอาจจะเหมือนกับภาพที่กลับด้านของความจำเสื่อมที่อยู่ในกระจกเงา
ความจำเสื่อมคือภาพตัวแทนของการหลงลืมภาพลักษณ์ของร่างกายที่ทำให้เจ้าของร่างรู้สึกว่าตนเองพิกลพิการ
(ผู้ที่ไม่สมหวังจากการได้มีร่างกายตามความนึกคิด)
ปรากฎการณ์ของอวัยวะที่ลวงตาทำให้เห็นถึงความทรงจำเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของร่างกายซึ่งสูญหายไปแล้ว
ในกรณีของคนแปลงเพศ ร่างกายของเขาจะถูกสร้างใหม่ผ่านใต้การผ่าตัดแปลงเพศ
ร่างกายใหม่นี้ไม่เคยมีมาก่อนและจะถูกจดจำใหม่ในเรื่องเล่า
แต่ร่างกายใหม่จะถูกทำให้มีอยู่
เพราะการผ่าตัดแปลงเพศได้ทำให้สิ่งที่ไม่เคยมีอยู่กลายเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ร่างกายของคนแปลงเพศถูกสร้างขึ้นจากความปรารถนาที่ต้องการมีอดีตที่สมบูรณ์
สิ่งนี้ไม่ใช่ความทรงจำแต่เป็นการโหยหาอดีต กล่าวคือ
เป็นความต้องการแสวงหาสิ่งที่เคยเป็น แต่ไม่ต้องการที่จะกลับไปอยู่กับสิ่งนั้น
การโหยหาเป็นความต้องการที่จะสร้างจินตนาการถึงสิ่งที่เคยเป็น
ความทรงจำเป็นส่วนเล็กๆที่มีอยู่ในจินตนาการ
และการโหยหาอดีตซึ่งพยายามประติดประต่อเรื่องราวในอดีตที่กระจัดกระจาดให้เข้ามารวมกันภายใต้จินตนาการเดียวกัน กรอซได้ชี้ให้เห็นว่าปรากฎการณ์เกี่ยวกับอวัยวะที่ลวงตาทำให้เห็นถึงการโหยหาความครบถ้วนสมบูรณ์ของร่างกาย
โดยกล่าวว่า “ภาพลวงตา
คือการแสดงออกของการรำลึกถึงอดีตเพื่อที่จะได้มาซึ่งความสมบูรณ์ครบถ้วนของร่างกาย
มันคือการแสวงหาความลงตัวแบบเบ็ดเสร็จ ภาพลวงตาคือความทรงจำของอวัยวะที่หายไปแล้ว
มันเป็นตัวแทนของสิ่งที่ไม่มีอยู่แล้ว"
แนวคิดสองแบบที่ซ้อนกันอยู่
ระหว่างการผ่าตัดแปลงเพศในฐานะเป็นการโหยหาอดีตเกี่ยวกับเค้าโครงที่เป็นอวัยวะเพศที่เคยมีมาก่อน
กับความคิดเรื่องการสร้างภาพลวงตาในฐานะเป็นการแสดงออกถึงการโหยหาร่างกายที่เป็นอุดมคติที่ไม่มีอยู่แล้ว
อาจช่วยทำให้เราเข้าใจว่าร่างกายของคนแปลงเพศเป็นเหมือนกับร่างกายที่เคยมีมาก่อนแต่เป็นสิ่งที่ลวงตาได้หรือไม่
? ถึงแม้ว่าอวัยวะที่ลวงตาจะถูกมองว่าเป็นการทำให้ความรู้สึกถึงร่างกายที่จะถูกตัดทิ้งเบาบางลงไป
ซึ่งมันเคยเป็นความรู้สึกเจ็บปวดของคนแปลงเพศ
แซ็คได้ชี้ให้เห็นถึงมิติที่มีพลังของภาพลวงตาเพื่อที่จะศึกษาคนที่มีร่างกายไม่สมประกอบ
ภาพลวงตาจึงมีเรื่องเชิงบวกปนอยู่
การใช้อวัยวะเทียมช่วยให้คนพิการรู้สึกว่าตนเองมีตัวตนใหม่ ดังนั้น
คนพิการต้องการภาพลวงตาที่มาทดแทนอวัยวะตามธรรมชาติที่ขาดหายไป คนไข้คนหนึ่งของแซ็คซึ่งถูกตัดขาออกไปข้างหนึ่งเล่าว่า
ขาเทียมที่เป็นภาพลวงตาช่วยให้เขาเดินได้อีกครั้ง การใช้ขาเทียม
เจ้าของร่างกายจะต้องฝึกเดินให้เหมือนกับการใช้ขาจริง
สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนแปลงเพศจะต้องรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอวัยวะใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของเขาเพื่อที่จะบอกว่าอวัยวะใหม่นั้นคือ
“จู่” หรือ “จิ๋ม” ของพวกเขาใช่หรือไม่ ? คนแปลงเพศจะสามารถรับรู้ถึงอวัยวะที่ถูกสร้างใหม่ได้อย่างไร
นอกเสียจากอวัยวะนี้จะเป็นภาพลวงตา ? สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของจินตนาการ
สำหรับคนแปลงเพศที่จะต้องเรียนรู้ที่จะคุ้นเคยกับอวัยวะเพศใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น
ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการสร้างภาพลวงตาของอวัยวะเพศ
อวัยวะใหม่นี้ไม่ได้มีไว้เพื่อการสึกกร่อน
แต่มีไว้เพื่อการมีตัวตนเชิงจินตนาการในทุกๆพื้นที่ของการไม่มีตัวตน ถ้าอวัยวะเพศตามกำเนิดเป็นเครื่องแสดงถึงความจำเสื่อมหรือเป็นสิ่งแปลกประหลาดสำหรับคนแปลงเพศ
(เป็นร่างที่ผิดที่ผิดทาง)
คนแปลงเพศก็จะเรียนรู้ร่างกายตามธรรมชาติของตนในฐานะเป็นเศษเสี้ยวที่พวกเขาไม่อยากจดจำ
เพราะอวัยวะเพศที่แท้จริงของคนแปลงเพศคือสิ่งที่จะถูกลืม ร่างกายที่พวกเขาคิดว่าไม่ใช่ตัวตนของพวกเขาเป็นร่างกายที่จะถูกผ่าตัดเพื่อแก้ไขอวัยวะเพศเสียใหม่
สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจว่าการที่ไม่ต้องการจะจดจำตัวตนในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะเพศที่ลวงตา
ซึ่งคนแปลงเพศคิดว่ามันคือตัวตนที่แท้จริง
เป็นอวัยวะที่สร้างใหม่ที่ช่วยทำให้พวกเขารู้สึกถึงความครบถ้วนสมบูรณ์
การสร้างภาพลวงตาเกี่ยวกับอวัยวะเพศจะเกิดขึ้นพร้อมๆกับการไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง
(การสูญเสียความจำ)
สภาพทั้งสองแบบนี้ทำให้เกิดภาพลักษณ์ของร่างกายที่ไม่สอดคล้องกับร่างกายตามธรรมชาติ
กล่าวคือภาพลักษณ์นี้ได้ผลักสิ่งที่เป็นร่างกายในอดีตให้หายไป
และทำให้คนแปลงเพศก้าวผ่านข้อจำกัดของร่างกายตามธรรมชาติ
สภาวะทั้งสองแบบนี้นำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ของร่างกายที่ถูกคิดว่าเป็น
“ความจริง” ซึ่งทำให้คนแปลงเพศแสวงหาหนทางที่จะสร้างร่างกายของตัวเองใหม่
การผ่าตัดแปลงเพศอาจเป็นการเยียวยารักษาและการเปลี่ยนตัวตนของคนแปลงเพศ
ซึ่งเหมือนกับเป็นยาแก้พิษสำหรับการบิดเบี้ยวของภาพลักษณ์แห่งตัวตน
ในเวลาเดียวกันมันก็มีผลต่อการตัดอวัยวะที่ไม่ต้องการออกไปและการตระหนักรู้ว่ามีอวัยวะลวงตาเกิดขึ้นมาแทนเรียบร้อยแล้ว
การผ่าตัดทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อแตกกระจัดกระจายไปเป็นร่างกายใหม่ของภาพลักษณ์ตัวตนของคนแปลงเพศโดยอาศัยการสร้างอวัยวะเทียมให้ปรากฎอยู่ในรูปร่างแห่งร่างกายที่เหมือนผีแต่มีความรู้สึก
การตัดการต่ออวัยวะทำให้คนแปลงเพศเป็นวัตถุที่ใช้อ้างอิงเกี่ยวกับการมีร่างกายแห่งจิตนาการหรือเป็นภาพลวงตา
ซึ่งเป็นการฟื้นฟูสภาพร่างกายของคนแปลงเพศ อวัยวะเทียมได้กลายเป็น “ตราประทับ”
สำหรับคนแปลงเพศหลังจากที่เขาผ่านการผ่าตัดไปแล้ว
สำหรับคนแปลงเพศที่ผ่านการผ่าตัด อวัยวะเพศลวงตาของเขาไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนสภาพของตัวเองไปร่างกายที่สมบูรณ์
“ถ้าฉันสามารถมีชีวิตได้เหมือนกับที่ฉันอยากจะเป็น
ฉันก็จะไม่พึ่งการผ่าตัดแปลงเพศ”
ธอมป์สันกล่าว
แต่เขาก็ไม่สามารถเป็นอย่างที่เขาคิดฝัน
อวัยวะเพศไม่ได้มีอยู่ในจินตนาการ แต่มันมีอยู่ในเนื้อหนังมังสา
จะต้องมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างและพิสูจน์ได้บนร่างกาย ในความหมายของการผ่าตัดแปลงเพศ
มันคือการตระหนักว่าร่างกายของเราเป็นแค่สสารที่มีความสำคัญต่อการสร้างอวัยวะเพศ
ซึ่งสสารแห่งร่างกายนี้ง่ายต่อการเปลี่ยนสภาพและการต่อเติมเสริมแต่ง
การร่วมมือกันระหว่างการผ่าตัดในฐานะเป็นการกระทำต่อร่างกายและภาพลักษณ์ของร่างกายในฐานะเป็นการสร้างภาพลวงตาของอวัยวะเพศ
เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อทำให้คนแปลงเพศรู้สึกถึง “การแปลงเพศ” แคธรีน คัมมิ่ง
เล่าถึงความรู้สึกของตัวเองหลังจากการผ่าตัดแปลงเพศเป็นหญิง “มันดูน่าอัศจรรย์
เหมือนกับมันเป็นอวัยวะเพศหญิงของฉัน” คำว่า “จิ๋มของฉัน” คือตราประทับและความคิดที่ตอบสนองต่อการผ่าตัดแปลงเพศ
ในขณะที่อวัยวะในร่างกายถูกตัดต่อใหม่ มันก็ถูกเชื่อว่าคือ “ตัวตน” และ
“อวัยวะเพศ” คนแปลงเพศหลายคนคิดเหมือนกับแคธรีน โดยคิดว่า “จิ๋ม”
ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากองคชาตของเขาได้เปิดเผยให้เห็นความสำคัญของการร่างกายและอารมณ์ที่ขับเคลื่อนอยู่ในการแปลงเพศ
การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
จะเป็นการผ่าตัดที่ต้องเก็บหนังที่ห่อหุ้มองคชาตไว้เพื่อนำไปสร้างเป็นอวัยวะเพศหญิง
และจะนำส่วนที่เป็นหัวขององคชาตไปปรับแต่งให้มีรูปร่างเหมือนปากช่องคลอดของเพศหญิง
ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้คนๆนั้นมีความรู้สึกทางเพศ การทำเลียนแบบคือสิ่งสำคัญ
ไม่ใช่แค่เพียงทำให้เกิดอวัยวะเพศใหม่เท่านั้น
แต่ยังทำให้อวัยวะเพศยังคงใช้งานได้ต่อไปอีกด้วย
การผ่าตัดจะต้องคำนึงถึงการสร้างรูปร่างอวยัวะเพศให้เหมือนจริงและจะต้องตอบสนองความรู้สึกทางเพศ
การผ่าตัดเพื่อปรับแต่งเนื้อเยื่อขององคชาตให้กลายเป็นโยนีตามที่สาวประเภทสองอยากจะได้นั้นยังขึ้นอยู่กับจินตนาการและความรู้สึกที่สาวประเภทสองมีต่ออวัยวะเพศของตนเอง
เช่นเดียวกันการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย
ก็ต้องคำนึงถึงการทำให้เหมืององคชาตและต้องใช้งานได้
โดยเนื้อเยื่อของโยนีจะถูกปรับแก้ให้เป็นผิวหนังขององคชาตหรือซ่อนไว้ใต้องคชาต
ซึ่งจะมีการเชื่อมต่อกับเส้นประสาทที่นำมาจากอวัยวะอื่นๆ เช่น ข้อศอก
ต้นขาหรือหน้าท้อง จากนั้นอวัยวะดังกล่าวก็จะถูกปรับสภาพให้กลายเป็นองคชาตเทียม ตราบเท่าที่ภาพลักษณ์ของร่างกายยังตอบสนองต่ออารมณ์และสรีระที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่
(สรีระในที่นี้คือผิวหนังและเนื้อเยื่อส่วนที่ห่อหุ้มร่างกาย)
การผ่าตัดก็จะช่วยยืนยันภาพลักษณ์ของร่างกายโดยการตัดแต่งเนื้อเยื่อของอวัยวะเพศซึ่งจะถูกเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม
และเจ้าของร่างกายนั้นก็จะสึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้
สิ่งสำคัญก็คือความสอดคล้องกันระหว่างอารมณ์และร่างกายที่เป็นผลมาจากการผ่าตัดแปลงเพศ
ซึ่งการลงทุนเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงอวัยวะเพศจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อเริ่มมีการผ่าตัดและยังไม่มีการสร้างองคชาตและโยนีที่เสร็จสมบูรณ์ ในช่วงท้ายๆของการผ่าตัดแปลงเพศ
ธอมป์สันรู้สึกว่าตนเองไม่มีสติ องคชาตเทียมที่สร้างจากเนื้อเยื่อต้นขาของเขาจะถูกประดิษฐ์ให้เป็นมีรูปร่างคล้ายท่อเล็กๆที่กระดิกได้ “องคชาตเทียม”
จะถูกนำไปปลูกถ่ายบนเนื้อเยื่อตรงหว่างขา และปลายอีกด้านหนึ่งจะถูกปลูกถ่ายบนสะโพก
ส่วนที่เป็นตรงกลางขององคชาตจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ช่วงเวลานี้ องคชาตเทียมจะดูคล้ายๆกับหูหิ้วกระเป๋าเดินทางเพราะปลายทั้งสองข้างของมันยังติดอยู่กับร่างกาย ขั้นตอนต่อไปคือการผ่าตัดองคชาตเทียมออกจากสะโพกของธอมป์สันและปล่อยให้มันห้อยตามธรรมชาติ
ซึ่งโคนขององคชาตยังคงติดอยู่กับหว่างขาของเขา
ความเสี่ยงในขั้นตอนนี้ก็คือเนื้อเยื่อขององคชาตเน่า (เนื้อตาย)
ซึ่งอาจเป็นไปได้เมื่อเนื้อเยื่อขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง
เมื่อแพทย์อะไรเรื่องนี้ให้ธอมป์สันฟัง
เขารู้สึกวิตกกังวลเพราะเขาที่ได้ผ่านขั้นตอนการผ่าตัดใหญ่ๆมาแล้ว 3 ครั้งในช่วง
18 เดือน
ธอมป์สันเริ่มคิดที่จะหยุดการผ่าตัดเพื่อสร้างองคชาตใหม่
“องคชาตเทียม”
เป็นชิ้นเนื้อเล็กๆที่ห้อยติดอยู่บริเวณด้านขวาของร่างกายของธอมป์สัน
ซึ่งมันดูไม่เหมือนองคชาต เคลื่อนไหวไม่ได้ และยึดหดตัวไม่ได้ “ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนอวัยวะเพศตามธรรมชาติ
แต่ฉันก็เริ่มจะคุ้นเคยกับมันแล้ว ฉันไม่อยากสูญเสียมันไป” ในขั้นตอนนี้ ถ้าเนื้อเยื่อที่มีรูปร่างคล้ายท่อเล็กๆนี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้
เนื้อเยื่อนี้ก็จะเปลี่ยนสภาพไปเป็นอวัยวะเพศ
การผ่าตัดจะช่วยทำให้ธอมป์สันมีองคชาตเทียมที่ทำจากกล้ามเนื้อต้นขาของเขาเอง
เหมือนกับที่แคธรีนได้จิ๋มเทียม
วัฏจักรชีวิตของคนแปลงเพศ การมีองคชาตเทียมที่เหมือนหูหิ้วกระเป๋าติดอยู่ในร่างกายคือการปรากฎตัวขององคชาตที่ลวงตาที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์แห่งรางกายให้คนแปลงเพศ
“ฉันเพ่งมองดูจู๋ของฉัน(ชิ้นเนื้อที่กระดิกได้)
ราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง มันเหมือนกับคนตัวเล็กๆ
มันจะมีชีวิตเมื่อฉันสูดลมหายใจเข้าไปหล่อเลี้ยงมัน
จู๋ที่ควรจะอยู่กับฉันเสมอและควรอยู่มาตั้งแต่ฉันเกิด มันทำให้ฉันเป็นผู้ชาย”
ไม่ใช่เพียงการนำองคชาตเทียมไปติดกับร่างกายของคนแปลงเพศและทำให้เขาคิดว่ามันคือจู๋เท่านั้น
แต่มันยังทำให้คนแปลงเพศรู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา องคชาตเทียมคือประจักษ์พยานสำหรับการมีตัวตนทางเพศภาวะที่จับต้องได้ การยืนยันและการตระหนักว่ามีองคชาตคือสิ่งที่ขัดแย้งกับอวัยวะเพศหญิงที่ธอมป์สันไม่อยากจะได้มัน
เรื่องเล่าชีวิตของธอมป์สันจะไม่เอ่ยถึงการมีประจำเดือน มีจิ๋มและเต้านม
ถ้าการไม่อยากจำคือการไม่อยากรับรู้ถึงสิ่งต่างๆที่เคยเป็น
ดังนั้นการสร้างภาพลวงตาก็จะเป็นการอยากรับรู้ในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความรู้สึกหลังจากผ่าตัด
คนแปลงเพศจะสร้างตัวตนลงไปในอวัยวะเพศที่ถูกสร้างใหม่
ราวกับว่าพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน เมื่อผ่านพ้นการผ่าตัดไปแล้ว
ชีวิตใหม่ของคนแปลงเพศจะต้องพึ่งพิงอวัยวะเพศเทียมนี้ไปตลอด
การรู้สึกถึงตัวตนที่แรงกล้าจะปรากฎอยู่บนอวัยวะเพศเทียม หากพิจารณาในประเด็นนี้จะเห็นว่าอวัยวะเพศเทียมคือของหายาก(ไม่ได้มาง่ายๆ)
และการมีตัวตนบนอวัยวะเพศเทียมก็เป็นเรื่องที่การแพทย์ให้ความสนใจ อย่างไรก็ตามการรับรู้ถึงตัวตนของคนแปลงเพศ
ยังเกี่ยวข้องกับร่างกายที่ถูกแปรสภาพไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าต่อการสร้างตัวตนที่ชัดเจนที่สุด การแปลงเพศคือการบูรณะซ่อมแซมร่างกาย ในมิติของเทคนิคทางการแพทย์
อวัยวะที่ถูกสร้างใหม่คือสิ่งที่แปลกปลอม คนแปลงเพศจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ถูกตัดต่อใหม่ ปัญหาของแคธรีนหลังจากที่เธอผ่านการแปลงเพศแล้วก็คือขนาดของปากช่องคลอดเทียม(เธอต้องดูแลช่องคลอดเทียมมิให้ตีบตัน)
ซึ่งเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่คุ้นเคยกับอวัยวะเพศเทียมนี้ เธอยอมรับว่าจิ๋มปลอมไม่ได้ทำให้เธอมีความรู้สึกทางเพศและมันมีรูปทรงที่ไม่เหมือนจิ๋มตามธรรมชาติ
เมื่อเธอไม่มีความรู้สึกว่าตนเองมีจิ๋ม
เธอจึงไม่มั่นใจว่าอุปกรณ์ที่ช่วงขยายปากช่องคลอดนั้นจะได้ผล
ของจำกัดของอวัยวะเพศเทียมนี้ยังเป็นสิ่งที่น่าฉงน หากเปรียบเทียบกับองคชาตเทียมที่สามารถมีเลือดมาหล่อเลี้ยงหลังจากการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อบนสะโพกของธอมป์สันแล้ว
จะพบว่าธอมป์สันรู้สึกว่าจู๋ปลอมของเขาเคลื่อนไหวได้เองหลังจากที่ถ่ายปัสสาวะแล้ว
ธอมป์สันมีวิธีการจัดการกับจู๋ปลอมของเขาอย่างไร เขาควรจะปล่อยให้มันห้อยโตงเตงตามธรรมชาติหรือว่าจะเอามือไปช่วยพยุงเวลามันขยายตัวขึ้น
ช่วงเวลาหลังการผ่าตัดแปลงเพศเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องเล่าของคนแปลงเพศทั้งหลาย
ซึ่งมีทั้งการเล่าแบบตลกขบขันและแบบน่าสยดสยอง
ช่วงเวลาหลังผ่าตัดเป็นช่วงที่ร่างกายใหม่แปลกแยกจากเจ้าของเฉกเช่นเดียวกับร่างกายก่อนการผ่าตัดที่เจ้าของไม่อยากจะได้มัน
ในขณะที่ร่างกายเดิมที่เข้าของไม่อยากได้ถูกมองว่ามันเป็นสิ่งประหลาด
ร่างกายใหม่หลังผ่าตัดก็เป็นสิ่งที่เจ้าของยังไม่คุ้นเคยกับมัน
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งมีค่าต่อการมีตัวตนของเขาก็ตาม
ถ้าการแก้ไขเพศภาวะคือพิธีกรรมของการสร้างตัวตนของคนแปลงเพศ
ซึ่งนักมานุษยวิทยาอย่างแอนน์ โบลิน เคยอธิบายไว้ในเรื่องการแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
(การผ่าตัดคือเครื่องมือที่จะนำไปสู่ความเป็นปกติ
ในที่สุดคนแปลงเพศจะถูกปฏิบัติราวกับว่าเขาเป็นผู้หญิง
คุณค่าของพิธีกรรมจะอยู่ที่การสร้างตัวตนใหม่ที่เจ้าของยินยอม) การสร้างตัวตนนั้นจะเกิดขึ้นในระดับของความรู้สึก
การผ่าตัดแปลงเพศคือพิธีกรรมของการสร้างตัวตนทางสังคม เพราะมันทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นบนร่างกาย
การผ่าตัดแปลงเพศทำให้บุคคลสามารถเข้าไปอยู่ในโลกของความจริงที่มีเพศภาวะ
ผิวหนังของร่างกายจะกลายเป็นบันทึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านของเพศภาวะ
ซึ่งเปลี่ยจากการแสดงบทบาททางเพศไปสู่การมีอวัยวะเพศที่จับต้องได้ ดอว์น แลงลีย์ ซิมมอนส์
เล่าว่าเมื่อเธอได้สัมผัสจิ๋มเทียม
เธอรู้สึกราวกับว่าประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนเพศ “ไม่มีใครเห็นความแตกต่าง
เมื่อฉันรู้ว่าฉันเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ มันไม่มีตำหนิ ไม่มีรอยแผลเป็น
รูปร่างของจิ๋มเทียมสมบูรณ์แบบมาก” การเปลี่ยนผ่านทางร่างกายนี้
คนแปลงเพศจะรู้สึกลึกลงไปในจิตใจมากกว่าจะมองเห็นแค่ผิวหนัง
การแยกไม่ออกถึงความแตกต่างที่พบเห็นบนผิวหนังช่วยทำให้คนแปลงเพศมีความปลอดภัยเนื่องจากเขาเหมือนกับคนอื่นๆ
กล่าวคือ
จินตนาการเกี่ยวกับการผ่าตัดแปลงเพศอยู่ที่ว่ามันช่วยทำให้คนแปลงเพศเป็นเหมือนกับเพศชายหญิงตามธรรมชาติ
การผ่าตัดช่วยปกปิดร่างกายเดิมของคนแปลงเพศด้วยร่างกายใหม่ได้อย่างแนบเนียน ในทางการแพทย์มองว่าการผ่าตัดแปลงเพศจะช่วยให้คนที่มีจิตใจตรงข้ามกับเพศกำเนิดเปลี่ยนร่างกายของตนไปสู่การเป็นชายหรือหญิงที่สมบูรณ์
บางคนอาจกล่าวว่าการเป็นคนแปลงเพศที่สมบูรณ์นั้นก็ต่อเมื่อเขาได้ทิ้งอัตลักษณ์เดิมของตัวเองไปแล้ว
ซึ่งร่างกายเดิมของเขาจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ในมุมมองของคนแปลงเพศ
การผ่าตัดแปลงเพศคือพิธีกรรมของการสร้างตัวตนในอีกความหมายหนึ่ง
นั่นคือการไขว่ขว้าวัตถุแห่งร่างกาย จากประสบการณ์เฉียดตาย ประสบการณ์ความผิดพลาดทางการแพทย์
ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในการผ่าตัด ความเจ็บปวด อาการช็อค การขยับร่างกายไม่ได้
การหดหู่และการพักฟื้น และการรักษาบาดแผลทางร่างกาย
สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้การผ่าตัดแปลงเพศมีโครงสร้างแห่งพิธีกรรมที่ชัดเจน
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในประสบการณ์ของคนแปลงเพศทุกคน
พิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่านจากเพศหนึ่งไปเป็นอีกเพศหนึ่งจะอาศัยการผ่าตัดช่วยทำให้ร่างกายของคนๆนั้นเปลี่ยนสภาพไปโดยสมบูรณ์ ก่อนที่ธอมป์สันจะได้รับอนุญาตให้ผ่าตัดจากแพทย์ด้านจิตเวชของเขา
เขาจะต้องแสดงการยืนยันว่าจะอดทนต่อความเจ็บปวดทรมานที่เกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัดแปลงเพศ
นั่นคือประสบการณ์ของการผ่าตัดและกฎข้อบังคับซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงสัญลักษณ์ให้คนแปลงเพศต้องพบกับการเปลี่ยนผ่าน
มันเปรียบเสมือนเครื่องหมายของการเปลี่ยนเพศ
ซึ่งความเจ็บปวดทางร่างกายแบบนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับความชอกช้ำจากร่างกายตามธรรมชาติของคนที่แปลงเพศที่ไม่ต้องการมัน
แหล่งอ้างอิง
Jay Prosser. (1998) “From Mutilation to
Integration: The Poetics of Sex Reassignment Surgery” in Second Skins: the Body
Narratives of Transsexuality. New York, Columbia University Press. Pp.80-90.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น