Ideal
Masculinities
การหาคำตอบต่อคำถามของมอนเตสกิเออ ที่ว่าธรรมชาติสร้างให้ผู้ชายมีอำนาจเหนือกว่าหญิงใช่หรือไม่ คำถามเกี่ยวกับ “ธรรมชาติ” ของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจมากในยุค
Enlightenment ในศตวรรษที่ 18 ร่างกายของมนุษย์คือเรื่องสำคัญสำหรับข้อสมมุติฐานทางการแพทย์
ซึ่งเชื่อว่าร่างกายของเพศชายคือมาตรฐานที่ใช้ตรวจวัดสรีระของมนุษย์ แต่ร่างกายของเพศหญิงจะไม่มีมาตรฐาน
คำว่า เพศชาย และ เพศหญิง มีความหมายที่บ่งชี้ความแตกต่างทางชีววิทยาของเพศสภาพ
ซึ่งเกิดจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในช่วงสมัยหนึ่ง ความรู้ประเภทนี้มิได้ยืนยันความเป็นกลางหรืออยู่คงทนถาวรตลอดไป คำว่า “ความเป็นชาย”
(masculine) และ “ความเป็นหญิง”
(feminine) เป็นคำที่ใช้เรียกบุคลิกลักษณะของมนุษย์โดยการแบ่งแยกประเภทที่ต่างกันสองแบบ ความคิดของการแบ่งแยกคู่ตรงข้ามคือความคิดที่นำมาใช้ในการนิยามความแตกต่างทางเพศ
โดยการให้คุณค่ากับเพศที่ไม่เท่ากัน ซึ่งจะมีเพศแบบหนึ่งดีกว่าอีกแบบหนึ่ง กระบวนการสร้างความแตกต่างนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวัฒนธรรมบางแบบซึ่งพยายามจัดระเบียบผู้ชายและผู้หญิงให้มีช่วงชั้นทางสังคมที่ไม่เท่ากัน
การแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมของร่างกายที่มีพลังมากอาจดูได้จากผลกระทบและสิ่งที่เกิดขึ้น การแสดงด้วยคำพูดและภาษา ซึ่งมีทั้งการเน้นคุณค่า
ตอกย้ำ สำนวน เปรียบเปรย
และอื่นๆ คำพูดและภาษาเป็นสิ่งที่ถูกใช้ในหมู่ผู้มีการศึกษา
ซึ่งจะมีการใช้คำพูดที่รับรู้เฉพาะในกลุ่มของตัวเองโดยที่คนอื่นจะไม่รู้ ภาพลักษณ์ของร่างกายคือสิ่งที่ทุกคนรับรู้ได้
แต่บางคนคิดว่าร่างกายเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด ในบทความนี้จะเป็นการศึกษาการใช้คำของพวกชนชั้นขุนนางที่มีการศึกษาเพื่อที่จะดูว่าคำอธิบายต่อร่างกายมีความหมายอย่างไร ภาพลักษณ์ของร่างกายจะเป็นเหมือนตัวแทนของประสบการณ์ของมนุษย์
ซึ่งเราได้สร้างคำอธิบายต่อภาพลักษณ์เหล่านั้น
ภาพลักษณ์ของร่างกายคือสิ่งที่เราใช้แยกความแตกต่างระหว่างตัวเรากับคนอื่น
ใช้ตอกย้ำความเป็นตัวเอง ใช้บ่งชี้ว่าคนอื่นต่างจากเรา และทำให้เรามีตัวตน อย่างไรก็ตามการร่างกายที่ถูกแสดงออกมาเป็นร่างในเชิงนามธรรม
กล่าวคือ เป็นผลผลิตทางความคิดซึ่งมีเงือ่นไขทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นตัวหล่อหลอม ผู้ที่สร้างภาพลักษณ์ของร่างกายมีเงื่อนไขทางสังคมของตนเอง
ความหมายของร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมามีเป้าหมายเพื่อใช้ทำบางสิ่งบางอย่าง อาจกล่าวได้ว่าการสร้างความหมายต่อร่างกายที่มองเห็นได้
เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาภายใต้การปรับเปลี่ยนวิธีคิดบางอย่าง
บทความเรื่องนี้มีข้อสมมุติฐานว่า ร่างกายแบบ “ธรรมชาติ”
ไม่มีจริง เพราะร่างกายทุกแบบล้วนเป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น ร่างกายทุกแบบเป็นสิ่งที่ผ่านการแสดงซึ่งเต็มไปด้วยความคิดที่หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นร่างกายแบบเชื้อชาติ สีผิว เผ่าพันธุ์ ชนชั้น และเพศสภาพ ร่างกายของเรา และประสบการณ์ที่เรามีต่อร่างกายเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไข ประเด็นที่น่าสนใจก็คือความเหลื่อมซ้อนกันระหว่างร่างกายที่เกิดจากแนวคิดทางการแพทย์กับแนวคิดทางศิลปะ
ซึ่งถูกแสดงในเรื่องกายวิภาค การแพทย์และศิลปะต่างใช้กายวิภาคเป็นตัวแสดงความหมายเหมือนกัน เนื่องจากกายวิภาคเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของกล้ามเนื้อหรือโครงกระดูก
บทความนี้จะพยายามทำความเข้าใจเรื่องโครงกระดูกมนุษย์
โดยจะศึกษาจากตัวอย่างความคิดของอัลบินัส ในเรื่อง Human Skeleton ซึ่งเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี
ค.ศ.1747 เนื่องจากโครงกระดูกมนุษย์เป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความเป็นเพศชาย ซึ่งร่างกายของผู้ชายจะถูกแสดงออกโดยกายวิภาค บทความนี้ต้องการรื้อทำลายคำอธิบายเกี่ยวกับภายวิภาค คำอธิบายเหล่านั้นมิได้มีเพียงการสร้างในเชิงรูปธรรม
แต่ยังเป็นการสร้างภาพตัวแทน บุคลิกท่าทาง สัดส่วน องค์ประกอบและรายละเอียดเกี่ยวกับร่างกาย คำถามคือ มีทัศนะเกี่ยวกับความเป็นชายอะไรบ้างที่เกิดขึ้นจากความคิดทางการแพทย์และศิลปะ
และทัศนะเหล่านั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร ในการศึกษาความคิดของอัลบินัสจึงต้องเปิดเผยให้เห็นรูปธรรมทางวัตถุที่ซ่อนอยู่
ข้อสมมุติฐานที่ซ่อนอยู่ในทัศนะทางการแพทย์ก็คือร่างกายของเพศชายและหญิงไม่มีความต่างกัน
และกายวิภาคของเพศชายสามารถแสดงให้เห็นทั้งความเป็นหญิงและชายได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องแยกความต่างเรื่องการสืบพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางศตวรรษที่
18 สมมุติฐานนี้ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นความคิดที่ยึดเอาความรู้ทางสรีระมาแบ่งแยกความแตกต่างทางเพศ
และให้คุณค่าต่อเพศชายมากกว่า ในปี ค.ศ.1775 แพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ
ปิแอร์ รุสเซ ออกมาอธิบายว่าเรื่องเพศมิอาจใช้อวัยวะเพียงแบบเดียวมาเป็นมาตรฐานได้
แต่ต้องแยกแยะให้เห็นความแตกต่างในรายละเอียด
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 โครงกระดูกของเพศชายจะใช้เป็นตัวแทนโครงกระดูกของมนุษย์ ภาพวาดสรีระของเพศหญิงเริ่มปรากฏครั้งแรกในปี
ค.ศ.1583 โดยศิลปินชื่อแพล็ตเตอร์ และถูกวาดซ้ำใหม่โดยบูฮินในปี
ค.ศ. 1605 การศึกษารายละเอียดทางด้านสรีระของเพศหญิงจะเกิดขึ้นอย่างจริงจังในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่
18 ในปี ค.ศ.1774 สก็อต วิลเลียมส์ ฮันเตอร์ ได้พิมพ์ภาพร่างกายและอวัยวะของสตรีออกเผยแพร่ในชื่อ
“ได้เห็นคือการได้รู้” ภาพวาดดังกล่าวเป็นภาพร่างกายตามธรรมชาติของสตรีซึ่งเป็นภาพตัวแทนของความจริงเกี่ยวกับสรีระของเพศหญิง อาจกล่าวได้ว่าหลักฐานเชิงรูปธรรมเกี่ยวกับโครงกระดูกมนุษย์จะปรากฏในรูปแบบของภาพวาด
ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือทางการแพทย์สำหรับการพิสูจน์ความแตกต่างว่าผู้หญิงไม่เท่ากับชาย
ตลอดช่วงเวลายาวนานของผู้กำหนดความรู้ทางการแพทย์โดยไม่มีการตั้งคำถาม
ทำให้โครงกระดูกของเพศชายกลายเป็นมาตรฐานในการกำหนดความถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
โครงกระดูกของผู้หญิงจะกลายเป็นสิ่งที่อยู่นอกมาตรฐาน ผู้มีอำนาจทางการแพทย์และศิลปะต่างยอมรับคุณค่าของโครงกระดูกเพศชาย
โดยเฉพาะนักกายวิภาคชื่อเบอร์นาร์ด ซิกฟรีด อัลบีนัส ผู้ซึ่งมีอิทธิพลทางความคิดเกือบ
300 ปี บทความเรื่องนี้ต้องการพิสูจน์ว่าภาพวาดสรีระของมนุษย์คือผลผลิตทางวัฒนธรรม
ซึ่งร่างกายของเพศชายและความเป็นชายที่ถูกสร้างขึ้นคืออดุมคติของสังคม
ท่วงท่าและสัดส่วน
กายวิภาคคือการแสดงให้เห็นร่างกายของมนุษย์
และร่างกายก็จะถูกแบ่งซอยไปตามโครงสร้างของกระดูก
ภาพวาดของอัลบินัส เป็นภาพมนุษย์ที่ยืนตัวตรงราวกับว่ายังมีชีวิตอยู่ ท่าทางของมนุษย์ในภาพวาดจะมีความหมายหลายอย่าง
ทั้งในเรื่องของการแสดงกิริยาอาการ เปิดเผยให้เห็นโครงสร้างของกระดูกที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย
โดยภาพวาดจะใช้เป็นตัวแทนของมนุษย์
รูปมนุษย์จะปรากฏอยู่ในภูมิทัศน์ เช่น ภาพที่ชื่อ The
Bones of the Human Body’ บ่งบอกให้ทราบถึงท่วงท่าของมนุษย์ที่กำลังกางแขน
มือขวาแบ มือซ้ายชี้ลงดิน
ท่วงท่ามนุษย์ในภาพวาดของอัลบีนัสเกิดมาจากความตั้งใจ
โดยใช้ความคิดแบบชนชั้นปกครองซึ่งเป็นสถานภาพทางสังคมของอัลบีนัส ซึ่งต้องการเลียนแบบท่วงท่าของเทพอพอลโล่ซึ่งมีอยู่ในงานประติมากรรมสมัยกรีก วิงเคลแมนน์แสดงความเห็นว่างานศิลปะในสมัยกรีกมีลักษณะเป็นอุดมคติ
ภาพวาดของอัลบีนัสจะให้ร่างมนุษย์เป็นตัวแทนของเทพแห่งพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา
ศีลธรรม และเสน่ห์ทางเพศ เคนเน็ธ คาร์ก กล่าวว่ารูปปั้นเทพอพอลโล่เป็นรูปปั้นที่งดงามเนื่องจากสัดส่วนของร่างกายถูกสร้างมาอย่างเหมาะสม
และเป็นความงามที่ผ่านการคำนวณมาแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าอพอลโล่เป็นเทพแห่งความยุติธรรม
และเอาชนะความชั่วร้ายทั้งหลาย ความยุติธรรมจึงดำรงอยู่ด้วยระบบเหตุผล
กายวิภาคของอัลบินัสจึงสะท้อนระบบคิดแบบเหตุผล
ซึ่งปฏิเสธความโง่เขลาหรือสิ่งที่อยู่ในด้านมืด นั่นคือเพศหญิง การนำเสนอภาพลักษณ์แห่งท่วงท่าของชัยชนะหลังจากที่เทพอพอลโล่ปราบงูยักษ์สำเร็จแล้ว
รูปปั้นของอพอลโล่ในความคิดของวิงเคลแมนน์จะเป็นตัวแทนของความงามและความดีอันสูงสุด และสิ่งนี้ก็คือจินตนาการแห่งการเอาชนะคนอื่นและอารมณ์ปรารถนาที่ดีที่สุด ในศตวรรษที่ 18 นักคิดอธิบายว่ารูปปั้นอพอลโล่คือสัญลักษณ์ของอำนาจที่สูงสุดซึ่งอยู่รวมกับความเปราะบาง
สัญลักษณ์นี้จะถูกผลิตซ้ำในภาพลักษณ์ของโครงกระดูกเ ช่นเดียวกัน
เทพอพอลโล่ถูกสร้างขึ้นจากการคำนวณที่ถี่ถ้วน
สัดส่วนต่างๆถูกต้องตามคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นธรรมความคิดแบบเรเนสซอง และอัลบีนัสก็เอามาใช้กับภาพโครงกระดูกของเขา ความคิดเชิงกายวิภาคจะถูกนำไปรวมกับแนวคิดศิลปะในยุคกรีกซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักคิดแนวปรากฏการณ์นิยมในเนเธอร์แลนด์ อัลบินัสพูดถึงความคิดของเขาอย่างชัดเจนในหนังสือเรื่องโจรสลัด
ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ.1749 อัลบินัสมีหลักคิด 2 ประการในการเลือกศพมาเป็นแบบวาดภาพ คือ หนึ่ง ศพนั้นต้องมีร่างกายที่สวยงาม
โดยต้องไม่ดูอ่อนหวานเกินไปหรือแข็งทื่อเกินไป ความคิดที่อัลบินัสใช้เพื่อเลือกร่างกายที่เหมาะสมจึงเป็นความคิดอุดมคติ
มากกว่าการคำนึงถึงหลักวิทยาศาสตร์
หลักคิดอย่างที่สอง คือ เรื่องสัดส่วนร่างกายของเพศชายซึ่งทำให้เขาเลือกงานศิลปะในยุคกรีกมาเป็นแบบ
ความปรารถนาในสิ่งสวยงามที่ผ่านการเลือกสรรมาแล้ว
จะมาพร้อมกับความปรารถนาในการตรวจวัดเชิงคณิตศาสตร์เพื่อสร้างสัดส่วนโครงกระดูกที่ถูกต้อง วิธีการของอัลบินัสเป็นสิ่งที่แปลกใหม่และพิศดาร
กล่าวคือ เขาจะใช้เชือกและรอกเพื่อจัดวางท่วงท่าของร่างกายของโครงกระดูก โดยจะให้โครงกระดูกยืนทิ้งน้ำหนักไปทางด้านขวา
ซึ่งเป็นที่นิยมในงานศิลปะยุคกรีก พร้อมกันนั้นจะใช้คนจริงๆยืนอยู่ข้างๆเมื่อเปรียบเทียบท่าทางที่ถูกต้อง จากนั้นจึงจัดท่าทางของโครงกระดูกให้ดูเหมือนคนจริงๆโดยใช้เชือกรั้งและลิ่มตอก
ช่างแกะสลักภาพของอัลบินัสชื่อ เจน แวนดีลาร์
นอกจากนั้นอัลบินัสยังทำงานร่วมกับนักกายวิภาคและศิลปินหลายคน แวนดีเลอร์ทำงานและอาศัยอยู่กับกับอัลบินัสเป็นเวลานาน
ซึ่งเท่ากับต้องตกอยู่ใต้อำนาจของอัลบินัสอย่างเลี่ยงไม่ได้ กล่าวคือ แวนดีลาร์ต้องทำงานในพื้นที่ที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อการวาดภาพที่ถูกต้องได้สัดส่วน อัลบินัสต้องตรวจวัดความถูกต้องตลอดเวลา
การทำงานของแวนดีลาร์จึงต้องอยู่ในสายตาของอัลบินัส การวัดมาตราส่วนของร่างกายที่ถูกต้องของอัลบินัส
ได้อาศัยการทำตารางสี่เหลี่ยมเพื่อตรวจสอบสัดส่วน โดยนำตารางไปวางไว้ข้างหน้าโครงกระดูก
และอีกตารางหนึ่งซึ่งเล็กกว่า 10 เท่า นำไปวางห่างจากโครงกระดูกประมาณ
4 ฟุต ศิลปินจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และเปรียบเทียบสัดส่วนภาพในตารางใหญ่กับตารางเล็กให้ถูกต้อง
เทคนิคดังกล่าวเป็นการวาดภาพที่ต้องใช้สายตาสังเกตจากของจริงโดยมองผ่านช่องสี่เหลี่ยม
เพื่อวาดสัดส่วนให้ถูกต้อง วิธีดังกล่าวนี้จะทำให้ภาพออกมาได้สัดส่วนทั้งแนวตั้งและแนวนอน วิธีนี้สะท้อนให้เห็นว่าอัลบินัสใช้ความคิดทางวิทยาศาสตร์ในการทำงาน แต่วิธีนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของศิลปินที่วาดรูป
อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 18 อัลบินัสก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในทางวิทยาศาสตร์
และเป็นผู้ที่สร้างมาตรฐานความงามแห่งยุคสมัย ความงามของอัลบินัสเกิดจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์
ซึ่งเชื่อว่าเป็นความงามที่สมบูรณ์แบบ ลงตัว ได้สัดส่วน และความงามที่ได้รับการยอมรับก็คือความงามของเพศชาย สัดส่วนของโครงกระดูกที่ถูกสร้างตามการคำนวณแล้วก่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบในอุดมคติ
กล่าวคือขนาดของศรีษะจะต้องมีขนาด 1 ใน 8 ของสัดส่วนของร่างกาย
โครงกระดูกของอัลบินัส ถูกจัดวางด้วยภาพ เมื่อภาพถูกนำไปพิมพ์ก็อาจทำให้สัดส่วนของโครงกระดูกคลาดเคลื่อนไปได้ ภาพพิมพ์โครงกระดูกจึงไม่เป็นที่สนใจทางการแพทย์เท่ากับรูปหล่อสามมิติซึ่งแสดงสัดส่วนอวัยวะภายใน
เมื่อรูปหล่อได้รับความนิยมมากขึ้น ภาพพิมพ์ก็จะไม่ได้รับความนิยมในวงการศึกษาแพทย์อีกต่อไป ในทางปฏิบัติภาพพิมพ์กายวิภาคของอัลบินัสไม่เป็นที่ต้องการของนักศึกษาแพทย์
แต่กลายเป็นที่นิยมในหมู่แพทย์ ขุนนาง และนักสะสม ถึงแม้ว่าภาพพิมพ์ของอัลบินัสจะให้รายลเอียดเกี่ยวกับสัดส่วนและอวัยวะทางร่างกายของมนุษย์
แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาของนักเรียนแพทย์เท่าใดนัก ภาพของอัลบินัสจึงเป็นเพียงงานศิลปะที่แปลกประหลาด
และเป็นผลพวงของระบบอุดมคติ
นอกจากนั้นภาพกายวิภาคของอัลบินัสมิได้มีความถูกต้องทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์
เพราะเป็นแค่เพียงภาพของโครงกระดูกและร่างเปลือยของผู้ชาย ภาพของอัลบินัสจึงเป็นงานศิลปะประเภทหนึ่งซึ่งสะท้อนมุมมองและโลกทัศน์ที่ผู้ชายมีบทบาทสำคัญ ภาพโครงกระดูกของอัลบินัสบ่งบอกถึงความภูมิใจและความมั่นใจในตัวเอง
ทั้งในด้านที่เป็นเรือนร่างและความรู้ กล่าวคือผู้ชายในยุคนั้นพอใจกับการควบคุมตัวเองและควบคุมสภาพแวดล้อมรอบๆตัว อำนาจในการควบคุมสิ่งต่างๆของผู้ชายคือความคิดที่ถ่ายทอดออกมาในภาพพิมพ์ซึ่งเกิดจากฝีมือของศิลปินและนักกายวิภาค สิ่งนี้คือกระบวนการทำให้ร่างกายเป็นวัตถุซึ่งมนุษย์สามารถควบคุมและมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่ถูกควบคุม
มีระเบียบกฎเกณฑ์ สมบูรณ์แบบ และบริสุทธิ์
อย่างไรก็ตามการสร้างภาพพิมพ์แกะสลักต้องอาศัยความถูกต้องแม่นยำ
เพราะถ้าเกิดข้อผิดพลาดแล้วจะแก้ไม่ได้ การแกะสลักอาจเปรียบเหมือนการผ่าตัด มีดที่ใช้แกะสลักอาจเหมือนมีดผ่าตัด ลวดลายที่เกิดจากการแกะสลักคือภาพตัวแทนของวัตถุซึ่งมีนัยยะของความสะอาดและแจ่มชัด
แต่ผู้ชมภาพจะไม่เห็นกระบวนการทำงานของศิลปินและขั้นตอนต่างๆซึ่งเต็มไปด้วยความเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ภาพพิมพ์แกะสลักจึงเป็นการทดสอบความอ่อนแอของมนุษย์
ซึ่งมีทั้งความหวาดกลัวต่อเรือนร่างและการเสื่อมสภาพของร่างกาย
รูปปั้นอพอลโล่คือจำลองของความคิดเรื่องอำนาจของผู้ชาย
และเป็นตัวแทนในอดุมคติของผู้ชาย ส่วนภาพโครงกระดูกของอัลบินัสเป็นภาพตัวแทนของความคิดที่ตอกย้ำอำนาจของผู้ชาย ในประวัติศาสตร์ความคิดของตะวันตก
อพอลโล่คือตัวแทนของความเป็นอมตะ ต่อมาสิ่งนี้จะถ่ายทอดไปสู่พระเยซูในศาสนาคริสต์ ภาพของอัลบินัสจึงเป็นมรดกทางความคิดดังกล่าวและเป็นตัวแทนของอำนาจผู้ชายแบบอดุมคติ ถ้าพิจารณาในรายละเอียดจะเห็นว่าภาพโครงกระดูกจะมีความเด่นชัดและสง่างามบดบังทัศนียภาพที่อยู่ฉากหลัง
ภูมิทัศน์ในภาพจะมีความต่ำต้อยกว่าหรืออยู่ต่ำกว่าโครงกระดูก ซึ่งหมายถึงมนุษย์สูงส่งและประเสริฐกว่าสิ่งใดๆในโลก
ท่าทางโครงกระดูกของอัลบินัสบ่งบอกถึงความมีอำนาจของผู้ชาย
เช่นเดียวกับท่าทางของรูปปั้นอพอลโล่ในยุคกรีกซึ่งอัลบินัสเชื่อว่าเป็นท่วงท่าที่สมบูรณ์แบบและเป็นธรรมชาติ
ซึ่งหมายถึงผู้ชายที่มีอำนาจต้องแสดงท่วงท่าเช่นนี้
ภาพพิมพ์ของอัลบินัสยังเป็นเครื่องมือสำหรับการแสดงอำนาจของศิลปินที่หยิบยืมความคิดของนักกายวิภาคมาใช้
จนก่อให้เกิดภาพในอุดมคติของเพศชายที่เป็นที่ปรารถนาของสังคมในยุคนั้น จนกระทั่งศิลปินฝรั่งเศสก็นำท่วงท่านี้มาปั้นรูปเหมือนของพระเจ้าหลุยส์ที่
14 รวมทั้งรูปปั้นของผู้ดี ขุนนาง
นักการเมืองทั้งหลายก็นิยมปั้นรูปตัวเองหรือวาดภาพตัวเองด้วยท่าทางของอพอลโล่ทั้งสิ้น
ภาพพิมพ์ของอัลบินัสมิใช่อุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอนในวิชากายวิภาคอย่างแท้จริง เนื่องจากนักกายวิภาคโต้แย้งว่าภาพของอัลบินัสมีภูมิทัศน์ประกอบอยู่ด้วยซึ่งทำให้เกิดความบิดเบือนความจริง อัลบินัสอธิบายว่าภาพพิมพ์ของเขาจำเป็นต้องมีฉากหลังที่เป็นภูมิประเทศ
เพราะทำให้ดูสวยงามมีมิติ และช่วยทำให้โครงกระดูกโดดเด่นขึ้นมา ศิลปินของอัลบินัสที่วาดภาพภูมิทัศน์คือเจน
แวนดีลาร์ซึ่งเป็นนักวาดภาพต้นไม้ ช่วยทำให้ภาพของอัลบินัสสมจริงมากขึ้น แนวคิดที่วาดภาพภูมิทัศน์ประกอบรวมกับภาพโครงกระดูกมนุษย์มาจากความเชื่อของนักกายวิภาคที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาตินิยม
ซึ่งสะท้อนวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์และการค้นหาความจริงที่เที่ยงแท้ ภาพของอัลบินัสจึงสะท้อนโลกทัศน์ของวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าโลกมีระเบียบ
มีเหตุผลและถูกควบคุมด้วยมนุษย์ อำนาจของวิทยาศาสตร์ที่ปรากฎในภาพของอัลบินัสถูกแสดงออกด้วยความสามารถทางศิลปะของแวนดีลาร์ซึ่งมีความรู้ทางพฤษศาสตร์ นอกจากนั้นภาพของอัลบินัสยังสะท้อนความคิดเกี่ยวกับพระเยซูโดยอาศัยสัญลักษณ์ของต้นไม้ที่มีหนาม
ลูดมิลล่า จอร์ดาโนว่า วิจารณ์ผลงานของอัลบินัสว่าเป็นการนำความตายมาเปิดเผยเพื่อที่จะทำให้ทุกๆคนเห็นว่าชีวิตคืออะไร
แต่ภาพของอัลบินัสยังแฝงไว้ด้วยความคิดที่คนยังนึกไม่ถึง นั่นคือความคิดเรื่องชายเป็นใหญ่
และตอกย้ำอำนาจของผู้ชายที่เหนือกว่าผู้หญิงในช่วงศตวรรษที่ 18 ของสังคมตะวันตก
แปลและเรียบเรียงโดย ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ จาก Anthea Callen.
“Ideal Masculinities An Anatomy of Power.” , in Nicholas Mirzoeff (ed.) The
Visual Culture Reader. Routledge, London. 1998. Pp.603-615.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น