2/27/2556

Queer Love in the Time of War and Shopping



รักสีรุ้งท่ามกลางสงคราม
และการจับจ่าย

แปลโดย ดร.นฤพนธ์  ด้วงวิเศษ จากMartin F. Manalansan IV. “Queer Love in the Time of War and Shopping” in Haggerty, George E. and McGarry, Molly (eds.) A Companion to Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender, and Queer Studies. Malden, MA.: Blackwell. 2007. Pp.77-86.


ความรักอาจเป็นความคิดที่ทำให้เกิดสิ่งดีๆในบทความนี้ แต่ความรักเป็นเรื่องที่ไม่มีเอกภาพและหยอกย้อน  บทความนี้เขียนเสร็จก่อนวันวาเลนไทน์เพียงไม่กี่อาทิตย์  ผมอยากให้มันเสร็จก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าผมจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนที่เฉยเมยต่อการวิวาห์ระหว่างความรักกับการค้า   อย่างไรก็ตาม ด้วยจิตวิญญาณของความสนุกสนานและความประชดประชันของความรัก  ผมได้ย้ำให้เห็นถึงความเกี่ยวโยงกันระหว่างบทความนี้กับเรื่องราวของการใคร่ครวญและการวิพากษ์เกี่ยวกับความรัก
ผมเขียนเรื่องราวสองเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน แต่เขียนด้วยความคิดที่ต่างกัน  เรื่องแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาพยนตร์ Brokeback Mountain ที่โด่งดัง  การตีความหนังเรื่องนี้จะมุ่งไปที่เรื่องข้อจำกัดและความเป็นไปได้ของความรักในฐานะเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างทางวัฒนธรรม และในฐานะเป็นเรื่องทางการเมืองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม   การตีความนี้จะเชื่อมโยงหนังเข้ากับบริบททางวัฒนธรรมภายใต้ความคิดแบบทุนนิยมเสรีใหม่ หรือ Neoliberal Capitalist
การตีความเนื้อหาในหนังเรื่องนี้เป็นการนำไปสู่สิ่งที่น่าปรารถนามากกว่านั้น ซึ่งเป็นเป้าหมายอย่างที่สองซึ่งอยู่นอกขอบเขตบทความเรื่องนี้ นั่นคือการประเมินและการวิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านภูมิทัศน์ทางการเมืองและวัฒนธรรมของสิ่งที่ผู้คนเรียกว่า “หนังชาวสีรุ้งอเมริกัน” (LGBT)  การใช้คำว่า “สีรุ้ง” ที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้อัตลักษณ์และปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงไป  แต่ผมกำลังใช้คำรวมๆเพื่อที่ลดความซับซ้อนและความสับสนของโลกที่บังเกิดขึ้นในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าน่าภาคภูมิใจ นั่นคือเหตุการณ์จราจลที่สโตนวอลล์ครั้งที่สอง ซึ่ง รุนแรงน้อยกว่า แต่สงบมากกว่า  เป็นเมืองน้อยกว่า แต่มีความเป็นชานเมืองมากกว่า แปลกแยกน้อยกว่าและดูเหมือนกับคนทั่วไปมากกว่า   กล่าวคือ เราเห็นโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปพร้อมกับเสรีนิยมใหม่กระแสหลัก ซึ่งกำลังทำให้สถาบัน พฤติกรรมและความปรารถนาของชาวสีรุ้งกลายเป็นเรื่องชาชินและปกติธรรมดา
คำว่า “Queer Love” เป็นคำที่เสียดสีที่บ่งบอกถึง ความรักของเกย์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครในหนัง Brokeback Mountain  ระหว่างคู่รักที่ไม่สมหวัง เอ็นนิสและแจ็ค แสดงโดยฮีต เลดเจอร์และเจ็ค กิลเลนฮัล   บทความนี้ต้องการที่จะตรวจสอบความคิดเกี่ยวกับความรักเชิงการค้าและน่าเบื่อของฮอลลีวู้ดที่ปรากฎอยู่ในหนัง  นักวิจารณ์หนังคนหนึ่งเรียกหนังเรื่องนี้ว่า “เป็นหนังรักเหมือนกับหนังทั่วไป”  ในขณะที่โฆษณาหนังเรื่องนี้ระบุว่า “หนังเรื่องนี้นำหัวใจอเมริกามาเจอกัน”   แอนโทนี เลน วิจารณ์หนังเรื่องนี้โดยโต้แย้งว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังคาวบอย หรือมิใช่หนังเกย์ แต่มันเป็นหนังรัก
เรื่องที่บทความนี้ให้ความสนใจคือการตรวจสอบคำอธิบายเกี่ยวกับความรักและโรแมนติกที่อยู่ในหนัง ในขณะที่ “ความรัก” คือยี่ห้อที่ถูกใช้มากในวาทกรรมกระแสหลักและวาทกรรมสีรุ้ง  อย่างน้อยในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นไป ในสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มีการประเมินเชิงวิพากษ์และการทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับความรัก โดยเฉพาะความรักแบบโรแมนติก   นักทฤษฎีเฟมินิสต์และเควียร์ เช่น ลอเรน เบอร์แลนต์(1998)  ลอร่า คิปนิส(2003) และสตีเฟ่น ซีดแมน(1990)  เคยนำเรื่องความรักมาวิจารณ์ ซึ่งไม่ใช่การชื่นชมหรือเยินยอปฏิบัติการทางวัฒนธรรมและทางความรู้สึกเช่นนี้  หลังจากนั้น ผมก็เริ่มสนใจเรื่องความรัก เข้าร่วมทีมกับนักภูมิศาสตร์วัฒนธรรม เช่น เบลล์และเบนนี่  ทำไมต้องทำเรื่องความรัก ทำไมต้องตอนนี้ หนังเรื่อง Brokeback Mountain เป็นตัวแทนอารมณ์หรือบรรยากาศทางสังคมได้อย่างไร   มีวิธีคิดถึงหนังเรื่องนี้แบบไหนบ้างที่เชื่อมโยงกับความหล่อแหลมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบันของเรา เช่น  สงคราม การบริโภค และการต่อสู้เพื่อสิทธิและความยุติธรรมของชาวสีรุ้ง   ผมจะนำบทความนี้มาสะท้อนปรากฎการณ์ดังกล่าวและพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดการวิพากษ์ความคิดเรื่องความรัก ทั้งในแง่ของอุดมการณ์และปฏิบัติการของชาวสีรุ้งซึ่งมีศักยภาพในเชิงปฏิวัติ   ผมจะวิเคราะห์โดยใช้มุมมองแบบเฟมินสิต์และเควียร์ซึ่งวิจารณ์เรื่องความรักจากอุดมการณ์ที่สับสนไปสู่การขับเคลื่อนเพื่อจัดตั้งโครงสร้างและอนาคตที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นไปได้
วัฒนธรรมและการเมืองกระแสหลักของเกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กช่วลและคนข้ามเพศ จะปรากฎอยู่ในบทความนี้  การศึกษาก่อนหน้านี้ของผม  ผมเคยชี้ให้เห็นว่าประเด็นเชื้อชาติกลายเป็นเรื่องที่ได้รับอันตรายจากเกย์และเลสเบี้ยนกระแสหลัก และมีการสมคบกับพลังแห่งเสรีนิยมใหม่ เช่น รัฐ และนายทุน  ผมเคยโต้แย้งว่าการหายไปของเชื้อชาติเป็นเรื่องปกติมากกว่าการแสวงหาความเป็นสากลและความเป็นวัตถุวิสัยของการไร้สีผิว  ในปัจจุบัน การวิจารณ์การเมืองเชิงอัตลักษณ์ ภายใต้ความคิดแบบโพสต์มอเดิร์น และการมาถึงของเควียร์ กลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในฐานะเป็นการเติบโตทางการเมืองและวัฒนธรรม   ความพยายามมากมายที่มีต่อการลบล้างสิ่งที่เรียกว่า “ความถูกต้องทางการเมือง”  กับการเน้นย้ำเรื่องข้อมูลเชิงประจักษ์และ “วัตถุ” อาจเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกัน   แต่ผมขอชี้แจงว่าการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะในวงวิชาการ อาจย้อนกลับไปดูการก่อตัวของวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสิทธิพิเศษทางการเมืองของคนผิวขาว และการมองว่าเรื่องเชื้อชาติ ชนชั้น เพศสภาพ และเพศวิถี เป็นสิ่งตอบสนองทางการค้า   ผมไม่ต้องการจะอธิบายลักษณะของการล่มสลายทางปัญญาในช่วงที่ผ่านมา  ความต้องการที่มาจากรัฐบาลบุชและเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยที่มีหัวอนุรักษ์นิยมซึ่งอยากกลับไปหาโครงการวิจัยที่เหมือนยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะการศึกษาแบบเขตพื้นที่และอเมริกันศึกษาแบบเก่าๆ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีบรรยากาศของการเปลี่ยนแบบรวดเร็ว
ประการแรก ผมใส่เสื้อคลุมผ่าตัดและผ่าเนื้อหนังของภาพยนตร์ จากนั้น ผมจะศึกษาวิธีการรับรู้และการแพร่กระจายของหนังพร้อมๆกับทำความเข้าใจแก่นเรื่อง บริบท และบุคลิกของหนัง  ท้ายสุด ผมจะพิจารณาตัวหนังในฐานะที่สัมพันธ์กับการผลิตทางวัฒนธรรมและบริบททางการเมือง ผมจะชี้ว่าภาพยนตร์เป็น “อาการ”ของปฏิบัติการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และสื่อมวลชนแบบเสรีนิยมใหม่อย่างไร  และภาพยนตร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าการเปลี่ยนผ่านของขบวนการเคลื่อนไหวของชาวสีรุ้งอย่างไร  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ภาพยนตร์นี้เป็นการเฉยเมยต่อตลาดกระแสหลักและการทำให้การเมืองของชาวสีรุ้งกลายเป็นเรื่องชาชินและคุ้นหูคุ้นตา โดยผ่านการหยิบยืมคำและกิริยาอาการแบบความรักของชนชั้นกลางมาใช้   โดยสรุปคือ ผมจะชี้ให้เห็นถึงการตีความอำนาจที่ซ่อนอยู่ในภาพยนตร์ และสะท้อนให้เห็นความคิดเกี่ยวกับความรักที่ก้าวหน้าและแตกต่างซึ่งมาจากสายตาของผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการที่ชอบวิพากษ์

เสพสังวาสแบบชนชั้นสูง”  ความรักของคาวบอยและการบุกเบิกดินแดนและเวลา

                ถ้าหนังเรื่อง  Brokeback Mountain  เป็นทั้งโรมแนติก หรือ เป็นรักโรแมนติกแบบหนังเรื่องอื่นๆ  หนังเรื่องนี้ก็จะเป็นการก่อตัวตนที่มีแก่นสารของลัทธิและปฏิบัติการแห่งเสรีนิยมใหม่   ความจริงที่ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังรักอาจจะเป็นการถึกถักเอาเอง แต่ ความน่าเบื่อของหนังไม่ได้ทำให้หนังไร้อันตรายหรือไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องการทำหนังความรักของชาวเกย์ให้กลายเป็นเรื่องที่คุ้นตาและทำให้คนผิวขาวเป็นพวกที่มีสิทธิพิเศษตามการเมืองวัฒนธรรมของเสรีนิยมใหม่
                เรื่องราวเกิดขึ้นในทุ่งเลี้ยงแกะบนเทือกเขาสูงของรัฐไวโอมิง  แจ็คและเอนนิสจุดประกายในคราบคาวบอยที่เป็นแม่แบบของอเมริกัน  คาวบอยจะเป็นภาพลักษณ์หลักของภาพยนตร์ซึ่งถูกมองข้ามไปในสายตาของนักวิจารณ์บางคนซึ่งบ่งคิดว่าตัวละครหลักสองตัวนี้เป็นคนเลี้ยงสัตว์ มิใช่คาวบอย  อะไรคือคนเลี้ยงสัตว์ อะไรคือคาวบอย ชื่อเหล่านี้คืออะไร   จากเรื่องสั้นของแอนนี โพรลซ์ ที่หนังเรื่องนี้นำมาดัดแปลง มีการกล่าวถึงคนเลี้ยงสัตว์ชาวชิลีซึ่งคอยติดตามดูแลฝูงแกะในเขตที่มีภูเขาล้อมรอบ  ในภาพยนตร์ เราจะเห็นคนเลี้ยงสัตว์ชาวชิลีเพียงนิดเดียว โดยเขาจะนุ่งเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์และพูดภาษาสเปน  ตัวละครหลักจะถูกสร้างขึ้นแยกออกจากกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ชาวชิลี ทั้งนี้มิใช่เพราะความเป็นคนผิวขาว แต่เพราะการแต่งกายและความเป็นชายที่อยู่ป่าเขาลำเนาไพร่  การสร้างตัวละครแบบนี้ทำให้เกิดการแบ่งช่วงชั้นสูงต่ำระหว่างคนผิวขาวกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผิวขาว
                ความแตกต่างระหว่างคนเลี้ยงสัตว์กับคาวบอยในการรับรู้ของคนทั่วไปต่อหนังเรื่องนี้ ทำให้เกิดการสร้างความแตกต่างทางเชื้อชาติและเป็นธรรมชาติ  เป็นการสร้างรหัสของเพศสภาพและการสร้างอำนาจให้กับคนผิวขาว ขณะที่ทำให้คนผิวสีอื่นเป็นคนชายขอบ  สิ่งนี้คือเครื่องหมายทางการตลาดของภาพยนตร์ จริงๆแล้ว คาวบอยมีตัวตนมายาวนานในจินตนาการและความคิดต่างๆของชาวอเมริกัน ส่วนในหนังเรื่องนี้ คาวบอยจะเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่สร้างความเป็นชายแบบธรรมชาติให้กับตัวละครหลักสองตัว  คำพูดและท่าทางของ “คนเลี้ยงสัตว์” ไม่ค่อยปรากฎให้เห็นในภาพโฆษณาเกี่ยวกับตัวละครทั้งสอง  ความรักของคนเลี้ยงสัตว์จะไม่ใช่จุดขาย และมิใช่หัวใจหลักของอเมริกาเหมือนกับความรักของคาวบอย
หนังให้ความสนใจตัวละครเอนนิสมากกว่า (แสดงโดยฮีต เลดเจอร์) ตัวละครนี้มีลักษณะเงียบขรึม พูดน้อย สั้นกระชับ และแสดงท่าทางเจ้าระเบียบซึ่งสะท้อนภาพความเป็นชายที่มีเสน่ห์และขี้เหงา เป็นบุคลิกภาพเชิงอดุมคติสำหรับคนที่อยู่ในดินแดนที่ทุรกันดาร  ตัวละครนี้มีบุคลิกภาพที่ถูกควบคุมและเป็นชนชั้นสูงที่เย็นชา ซึ่งทำให้การดิ้นรนหาความรักของตัวละครเอนนิสและแจ็คเป็นไปอย่างราบรื่น  ความเป็นชายที่ไม่น่าสงสัยของทั้งคู่เชื่อมโยงกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวในทางเวลาและสถานที่  สิ่งนี้ทำให้เกิดเรื่องราวที่น่าพอใจโดยนำเสนอในแบบรักโรแมนติก
นักทฤษฎีสังคม แอนโทนี กิดเด็นส์ แนะนำว่าความรักใคร่คือเรื่องของการบุกเบิกเวลา โดยเฉพาะเวลาในอนาคต  กิดเด็นส์ชี้ว่าการตระหนักรู้ถึงความรักคือการยักย้ายของสตรี และความพยายามที่จะควบคุมเส้นทางของความรักและทำให้มันเป็นเรื่องของอนาคตที่มองเห็นเกี่ยวกับความสุขสมหวัง   กิดเด็นส์เสนอว่าสิ่งนี้คือยุทธวิธีของพวกเน้นความรู้สึก    ที่เกิดกับสตรีเพศซึ่งทำให้ตัวเองเป็นผู้ที่ควบคุมตัวเองได้ ในขณะเดียวกันก็ทำให้ตัวเองถูกผลักตกขอบ   ผมจะมองต่างไปจากกิดเด็นส์โดยทำให้การบุกเบิกครอบครองนั้นแยกตัวออกมาและชี้ให้เห็นการสื่อความหมายที่สำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับการกำจัดพื้นที่และตัวตนของคนผิวสี  ประเด็นนี้เกี่ยวกับความคิดเรื่องการครอบครองที่ผมต้องการวิเคราะห์ในบทความนี้
                ในหนัง  ความรักระหว่างเอนนิสและแจ็คถูกวางกรอบให้เป็นเรื่อง “ส่วนตัว”ระหว่างผู้ชายสองคน   ถูกปกป้องโดยดินแดนที่เต็มไปด้วยลำธารที่ไหลเชี่ยวและทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่  ทัศนียภาพทำให้คิดถึงสัญลักษณ์ของเรื่องราวความรักที่ไร้กาลเวลา และทำให้คิดถึงความสัมพันธ์ทางเพศแบบลับๆ  ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือท่าทาง ทั้งเอนนิสและแจ็คไม่แสดงตัวว่าอยู่ในโลกความจริงที่สับสน (ครอบครัว สตรีเพศ และคนผิวสี)  ทั้งคู่อยู่ห่างจากความไร้ระเบียบของประวัติศาสตร์  การแยกตัวโดดเดี่ยวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์นี้คือศูนย์กลางของเรื่องเล่า    ความรักของเอนนิสและแจ็คคือสิ่งที่พบได้ตั้งแต่เริ่มต้นในฐานะเป็นการดิ้นรนที่จะทำเพื่อตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไร้ประโยชน์ แต่มันก็กลายเป็นเรื่องหลีกหนีไปจากโลกความจริงที่ชวนฝัน
                การป้องกันเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ที่สับสน เกิดขึ้นชัดเจนเมื่อหนังเริ่มต้นด้วยความรักตามช่วงเวลาปฏิทิน หนังเริ่มในช่วงทศวรรษ 1960 และดำเนินเรื่องไปจนถึงทศวรรษ 1970 อย่างเชื่องช้าแบบไร้เหตุผล หลีกเลี่ยงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น สงครามเวียดนาม การเคลื่อนไหวด้านสิทธิ การสำรวจดวงจันทร์ และการปฏิวัติทางเพศ  จริงๆแล้ว หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นเสมือนเป็นการสร้างภูมิประเทศเทือกเขาโบรคแบ็คให้กับแจ็คและเอนนิสไว้สำหรับทำเรื่องส่วนตัวแบบชาวบ้านโดยปราศจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความแตกต่างทางสังคม
                ความคิดเกี่ยวกับการครอบครองเวลาคือสิ่งที่สำคัญต่อเรื่องเล่าความรัก เพราะมันทำให้คนดูเห็นคาวบอยสองคนในภาพลักษณ์คนที่มีความรักเช่นเดียวกับคู่รักที่พอใจกันและกันซึ่งไม่สนใจบริบททางประวัติศาสตร์ที่แวดล้อมชีวิตของเขาอยู่  อย่างไรก็ตาม  เอนนิสและแจ็คไม่มีเอกภาพในเรื่องราวของตัวเอง  ผมคิดถึงคู่รักอื่นๆที่ไม่มีโอกาสเหมือนคู่นี้ คู่รักที่อยู่ในช่วงเวลาและสถานที่อื่น  ลองคิดดูว่าชายที่ “รัก” ชาย หรือ อย่างน้อยมีเซ็กส์กับชายด้วยกัน ซึ่งไม่ได้นิยามว่าตนเองเป็นเกย์ปรากฎขึ้นมาช้านานแล้ว และแม้แต่หลังจากเหตุการณ์สโตนวอลล์ที่เป็นตำนานซึ่งปูทางในยุคที่มีการสร้างอัตลักษณ์เกย์เชิงการเมือง 
                ในทศวรรษ 1980  ระหว่างการแพร่ระบาดหนักของเอดส์ ศูนย์ควบคุมโรคเกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันของนักเคลื่อนไหวและนักวิชาการที่บัญญัติศัพท์คำว่า “ชายรักชาย” หรือ ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย  คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่ไม่ยุ่งเหยิงจากอัตลักษณ์ของตัวเอง  ซึ่งถูกมองว่าเป็นคนแปลกประหลาดที่เชื่อมโยงถึงความคิดในช่วงเวลานั้น  ในหลายๆกรณี ชายกลุ่มนี้เป็นคนอพยพ และ/หรือ เป็นคนผิวสี  ไม่นานนี้ พวกเขาเป็นคนอเมริกัน-แอฟริกันที่อ่อนไหวและหวาดกลัว ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นแรงงานและแสดงออกแบบผู้ชายซึ่งยินยอมที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับชายด้วยกัน  พวกเขาถูกเรียกว่า “คนต่ำ”  ทั้งผู้ชายรักชายและคนต่ำ ถูกเบียดขับให้อยู่ชายขอบซึ่งถูกนำมารวมกันโดยสื่อภายใต้การจัดประเภทที่บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่อยู่ผิดที่ผิดทาง อยู่นอกกาลเวลา และอยู่นอกเรื่องแต่งของโลกสมัยใหม่   โดยปกติ พวกเขาถูกมองว่าเป็นร่องรอยของประเพณี  ล้าหลังต่อความคิดเรื่องเพศที่เป็นสากล  ทางที่ดีที่สุด  พวกเขาเป็นเหยื่อของบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมที่ต้องได้รับการศึกษาและช่วยเหลือ ทางที่แย่ที่สุด พวกเขาเป็นพวกหลอกลวง รังเกียจ และไม่ชอบตัวเองอยู่ลึกๆซึ่งต้องการแสวงหาโลกที่ดี  ทั้งคนต่ำและชายรักชายถูกมองว่าเป็นผู้ชายที่เป็นผิวสีและล้มเหลว ซึ่งถูกวางให้อยู่ในตำแหน่งชายขอบและถูกกดขี่ในการจำแนกประเภทของ “ความเป็นชาย”  และในลำดับขั้นพัฒนาการระยะแรกๆของการศึกษาเหตุผลของสมัยใหม่
                ผมอยากเสนอว่าคู่รักในหนัง Brokeback ไม่ได้แสดงในแบบเดียวกับชายรักชาย หรือ คนต่ำ แต่แสดงต่างไปจากคนผิวสี แจ็คและเอนนิสไม่ได้อยู่ในเวลาประวัติศาสตร์ แต่อยู่ในเวลาโรแมนติก   คู่รักคู่นี้ไม่ต้องการเดินตามลำดับเวลา หรือเดินตามพัฒนาการปกติ   พวกเขาไม่ต้องการอยู่ในช่วงชั้นของอัตลักษณ์และความเป็นบุคคล   ฉนวนหรือการปกป้องของพวกเขาถูกสร้างให้เป็นไปได้โดยอาศัยการเคลื่อนตัวที่เกิดจากความแตกต่าง  นั่นคือ ลำดับชั้นของพรมแดนที่เป็นเชื้อชาติและพื้นที่ของร่างกายผู้ชายที่เป็นผิวสี
                ในภาพยนตร์ แจ็ค ซึ่งแสดงโดยเจ็ค กิลเลนฮัล เดินทางไปยังเมืองชายแดนเม็กซิโก ที่ซึ่งเป็นฉากเดียวที่เขาเดินอยู่ท่ามกลางความสกปรกและเสียงอึกทึกของสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่ต่างไป  เขาเข้าไปในตรอกแคบๆ ที่ซึ่งมีชายชาวเม็กซิกันกำลังพิงอยู่ในเงามืด    แจ็คเข้าไปหาชายคนหนึ่งที่ไม่มีท่าทางเป็นชาย และชายคนนี้ก็ถามเขาว่า “เป็นไงพ่อหนุ่ม” แล้วแจ็คก็พยักหน้า   หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปด้วยกันและหายเข้าไปในความมืด   เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นในฉากสุดท้ายและมีความสำคัญ ระหว่างคู่รัก เมื่อเอนนิส (แสดงโดยฮีต เลดเจอร์) รู้สึกโกรธที่แจ็คไปเม็กซิโกเพื่อหาความสุขทางเพศ ซึ่งเอนนิสพูดว่า “ผมรู้ว่าพวกเขาไปเม็กซิโกเพื่อหาหนุ่มๆเหมือนกับคุณ”
                สิ่งบ่งบอกเกี่ยวกับเม็กซิโกในฐานะเป็นพื้นที่ของความเบี่ยงเบนและเป็นสถานที่ตรงข้ามกับที่หลบซ่อนในไวโอมิง (ภาพยนตร์ถ่ายทำในเขตภาคเหนือของแคนาดา) ซึ่งเป็นที่พักพิงของคู่รักคู่นี้ ซึ่งเปรียบเป็นโศกนาฎกรรมแบบดั้งเดิม มีความโดดเดี่ยวในเขตแดนทางวัฒนธรรมและกาลเวลา  ความรักของพวกเขาเป็นแต่งและเป็นอุปมาอุปไมย ที่ถูกเชิดชูโดยคนผิวขาว และถูกจดจำในภาพถ่ายที่บริสุทธิ์  เม็กซิโกอยู่ตรงข้ามกับความเป็นคนขาว ความสงบเงียบ ความสว่าง และความกว้างใหญ่แห่งโบรคแบ็ค   ไม่เพียงเม็กซิโกจะถูกทำให้กลายเป็นสีน้ำตาล มันจะถูกทำให้เป็นความวปั่นป่วน ความสกปรก ความมืดมัว ความแคบ และความยากลำบาก  ซึ่งอยู่ชายขอบพร้อมกับเศษซากทางประวัติศาสตร์
                ผมอยากชี้ว่าการครอบครองพื้นที่และเวลาดังกล่าวนี้ ทำให้ผู้ชมมองเห็นภาพเสมือนเกี่ยวกับความรักของเกย์ในแบบเสรีนิยมใหม่   ภาพเสมือนนี้ถูกสร้างมาจากตัวแบบของปัจเจกนิยมในยุคการค้าซึ่งปฏิบัติการบนความคิดเรื่องความเป็นสากล  ( Universalism) และความคล้ายกันซึ่งถูกสร้างเพื่อทดแทนความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาติและเศรษฐกิจ   กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  เราถูกหยิบยืนในสิ่งที่เป็นโศฏนาฎกรรมแห่งวีรบุรุษและการไถ่ถอนที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการละทิ้งเรื่องเพศสภาพ สีผิว ชนชั้น และความแตกต่างทางชาติพันธุ์  ในขณะที่ผู้คนอาจแย้งว่าเอนนิสคือคำสรุปเกี่ยวกับชนชั้นแรงงานผิวขาว หรือวัฒนธรรมของคนไร้ค่าผิวขาว  สถานะชายขอบแบบนี้คือสิ่งชดเชยโดยการเป็นคนผิวขาวที่มีสิทธิพิเศษ

สงครามของใคร ? สงครามไหน ?

                การถกเถียงต่อไป จะชี้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะมองภาพยนตร์เรื่องนี้ให้สัมพันธ์กับสถานที่ของภาพยนตร์ในช่วงเวลาของการผลิตสร้างทางวัฒนธรรมในปัจจุบัน  ภาพยนตร์เรื่องนี้มิใช่ภาพยนตร์ที่มีลักษณะเฉพาะที่บอกช่วงเวลาของชาวสีรุ้งในปัจจุบัน   ความจริงคือ ภาพยนตร์อยู่ในชุดเดียวกับการผลิตทางวัฒนธรรมที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของชาวสีรุ้ง เช่น เรื่อง Queer as Folk   และ Queer Eye for the Straight Guy  ในช่วงแรกๆของบทความ ผมชี้ว่าการผลิตสร้างทางวัฒนธรรมเกย์กระแสหลัก เช่นภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเฉยเมยพร้อมกับการทำให้ชุมชนคนรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติ    การทำให้กระจ่างต่อเรื่องนี้ก็คือ การชี้ให้เห็นว่ากระบวนการเสรีนิยมใหม่ถูกทำให้เกิดขึ้นโดยการเมืองเรื่องเพศที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งลิซ่า ดักแกนเรียกว่า “บรรทัดฐานของรักเพศเดียวกัน (Homonormativity)  สิ่งนี้คืออุดมการณ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ ซึ่งตั้งใจที่จะผลักดันให้เดินไปข้างหน้า เช่น สิทธิการแต่งงานของเกย์ และการเคลื่อนไหวเชิงรุกอื่นๆ  แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็สร้างผลกระทบที่ไม่ใช่การเมืองให้เกิดกับชุมชนเกย์เลสเบี้ยน เฉกเช่นการแก้ไขแผนที่ หรือแก้รหัสของอิสรภาพและเสรีภาพด้วยแนวคิดความเป็นส่วนตัว ความเป็นเรื่องในครัวเรือน และการบริโภค กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บรรทัดฐานของรักเพศเดียวกันทำให้ชุมชนเกย์เลสเบี้ยนไร้ความรู้สึกและกลายเป็นรูปแบบของความไม่เท่าเทียมที่ยอมรับได้เพื่อที่จะบริโภคความเป็นส่วนตัวและอิสรภาพ
                บทความที่เคยตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ ผมเคยอธิบายว่าบรรทัดฐานรักเพศเดียวกันได้สร้างการดิ้นรนที่รุนแรงในพื้นที่เมืองโดยกลุ่มสีรุ้งที่มีผิวสี  รูปแบบความรุนแรงนี้ถูกนำเสนอโดยบุคลิกเชิงโครงสร้างที่ถูกสร้างขึ้นโดยเศรษฐกิจ การเมือง ปฏิบัติการและนโยบายวัฒนธรรมของเสรีนิยมใหม่   ความรุนแรงเชิงโครงสร้างในทัศนะของผม หมายถึงกระบวนการแบบทางการและไม่เป็นทางการที่สถาบันต่างๆได้โฆษณาขึ้น ซึ่งรอดดริก เฟอร์กูสัน เรียกว่า “อุดมการณ์แห่งการแบ่งแยก” หรือการปฏิบัติที่มองหาการควบคุมและการจำกัดขอบเขตเชื้อชาติ สีผิว ชนชั้น และเพศ ซึ่งในเวลาเดียวกันก็สร้างความโหดร้ายและความเจ็บปวดเชิงสัญลักษณ์ เชิงอารมณ์และเชิงกายภาพให้กับคนที่อยู่ชายขอบ
                ความรุนแรงเหล่านี้เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนผ่านของสภาพแวดล้อมที่ถูกทำขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลบพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความหมายต่างๆซึ่งรวมตัวในกลุ่มคนที่เป็นชายขอบ  ตัวอย่างเช่น แซมมวล เดลานี  บันทึกว่านโยบายเมืองที่มีต่อย่านไทม์สแควร์ได้สร้างรูปแบบใหม่ของการควบคุม ซึ่งมิใช่การเปลี่ยนภูมิสถาปัตย์หรือสิ่งก่อสร้างเท่านั้น หากแต่ยังเปลี่ยนวิถีชีวิตของกลุ่มคนผิวสีจำนวนมากที่เคยใช้ทางเท้าและใช้ชีวิตอยู่ตามซอกมุมเพื่อเซ็กส์ เพื่อเวลาว่าง และการทำธุรกิจอื่นๆ  ไม่เพียงกลุ่มคนเหล่านี้จะถูกจัดระเบียบทางพื้นที่ แต่พวกเขายังถูกทำให้โดดเดี่ยวในดินแดนห่างไกลที่ปลอดภัยและถูกทำให้กระจัดกระจายไปเมื่อพวกเขาถูกมองว่าเป็นพวกก่อกวน หรือถูกสงสัยว่าเป็นสาเหตุของการสร้างความรำคาญหรือการรบกวนต่อเจ้าของและลูกค้าในธุรกิจที่โอ้อวดใหม่
                การเน้นย้ำหนทางที่มีเงื่อนงำในบรรทัดฐานของรักเพศเดียวกัน ถูกจารึกไว้ในวาทกรรมชี้นำและรวมอยู่กับอุดมการณ์ของแบ่งแยก  ผมชี้ให้เห็นว่าอำนาจและสถาบันที่ถูกสถาปนาขึ้น เช่นตำรวจ และเทศบาล มิใช่เป็นเพียงคนทำผิดที่สร้างความรุนแรงแบบเสรีนิยม  แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนที่หลากหลาย วึ่งส่วนใหญ่คือนักวิชาการเกย์ผิวขาวจากขั้วการเมืองทั้งสองข้าง  ผมโต้แย้งว่าอำนาจที่มีเงื่อนงำของบรรทัดฐานรักเพศเดียวกันอยู่รายล้อมความสัมพันธ์ทางการเมืองของทุกคน  คำวิจารณ์ต่อผู้เชี่ยวชาญเกย์อย่างแอนดรูว์ ซุลลิแวน,  ดักแกนกล่าวว่ามิใช่การแบ่งแยกความคิดของบรรทัดฐานรักเพศเดียวกันเป็นมุมมองก้าวหน้าและอนุรักษ์นิยมเท่านั้น แต่เป็นการกำหนดขอบเขตความสุดขั้วทางการเมืองแบบนี้ในฐานะที่เป็นส่วนที่เคลื่อนตัวไปอย่างต่อเนื่องของความคิดและผู้คบคิด ซึ่งทุกคนล้วนเฉยเมยด้วยการทำให้ความไม่เท่าเทียมของทุนนิยมเป็นเรื่องปกติและมีความมั่นคง
                การทำความเข้าใจประเด็นของดักแกน เราควรจะยกตัวอย่างประกอบ  ในเรื่อง Queer Wars: The New Gay Right and Its Critics  พอล โรบินสันให้ความสนใจกับผู้เชี่ยวชาญเกย์ที่มีหัวอนุรักษ์  เช่น ซุลลิแวน, ไม่เคิลแองเจโล ซิกนอริล และคนอื่นๆซึ่งชี้ประเด็นว่าความพยายามของเกย์เหล่านี้ที่จะยับยั้งและป้องกันอนาคตเกย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น  กล่าวคือ โรบินสันกำลังประกาศว่ามีสงคราม สงครามของสีรุ้งและศัตรูก็คือกลุ่มเกย์ที่เป็นอนุรักษนิยม  ในขณะที่โรบินสันให้ข้อสังเกตที่ชาญฉลาด เขาก็เคลื่อนตัวต่อไปอย่างน่ากังวล เมื่อเขาเปลี่ยนการถกเถียงเกี่ยวกับเกย์ที่เป็นนักวิจารณ์เหล่านี้ไปยังการถกเถียงเรื่องรายการทีวี Queer as Folk   ในตอนท้าย เขาชี้ว่ารายการนี้เป็นของเกย์ เลสเบี้ยนชนชั้นกลางระดับบนที่เป็นผิวขาว ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองพิทสเบิร์ก (แต่สถานที่จริงอยู่ที่เมืองโตรอนโต) รายการที่เป็นยาถอนพิษให้กับเกย์หัวเก่า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  เขาชี้ว่ามิตรภาพและความรักที่เกิดขึ้นกับสมาชิกในกลุ่มนี้เป็นดั่งคำไถ่บาปที่มีต่อตำแหน่งที่ล้าหลังของนักคิดที่โรบินสันเคยวิเคราะห์  โรบินสันได้ชี้ว่าเกย์กลุ่มนี้ถูกครอบงำและพยายามแสวงหาสิ่งอำนวยความสะดวกและผลิตภัณฑ์ของการตลาดเกย์ในฐานะที่เป็นของเลียนแบบชีวิตเกย์
                โรบินสันเป็นคนที่โดดเดี่ยว มีคนหลายคนที่เอาใจใส่ต่อสิ่งที่เรียกว่า “การปราศจากสี” ภายในชุมชนเกย์และชุมชนของคนโดยรวม  สิ่งนี้วางอยู่บนพื้นฐานของการทำให้การดิ้นรนของเกย์เป็นเรื่องส่วนตัว  ตัวอย่างเช่น รายการ Will and Grace   และ Queer Eye for the Straight Guy  ทำให้เกิดการพิจารณาเกี่ยวกับอัตลักษณ์อย่างละเอียดในขณะที่อิสรภาพที่จะเป็นเกย์คือสิ่งที่เคลื่อนไหวผ่านการกระทำเฉพาะของการตลาดที่แบ่งสีผิวและเหมาะสมกับกลุ่มเกย์   การเกิดขึ้นของคำว่า “metrosexual” ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการเก็บสะสมทางวัฒนธรรมนี้ได้แสดงให้เห็นในประเด็นดังกล่าว  เมโทรเซ็กช่วลมิใช่เรื่องทางเพศทั้งหมด แต่เกี่ยวกับการจับจ่ายที่ถูกชี้นำ  สิ่งที่ตามมาจากตรรกะนี้คือ การเป็นเกย์และการเป็นอิสระในช่วงเวลาปัจจุบันซึ่งมีเจตนาที่จะสวมเสื้อผ้ามียี่ห้อ
                การตลาดคือสิ่งที่ถูกสร้างเพื่อเป็นตัวกลั่นกรองอิสรภาพซึ่ง วาทกรรมกระแสหลักในชุมชนเกย์ ไม่สนใจว่าอิสรภาพแบบนี้จะถูกกำหนดขึ้นจากการปฏิเสธคนกลุ่มอื่นๆที่ไม่มีอิสระที่จะบริโภคและไม่สามารถเข้าถึงทุนทางวัตถุและสัญลักษณ์นี้อย่างไร   ดังนั้น ถ้าบุคคลวิเคราะห์ตลาดเสรีในฐานะเป็นพื้นที่แข่งขันหรือเป็นเขตสงครามแล้ว ก็จะพบว่าศัตรูที่ไร้นามอยู่ในสงครามของเสรีนิยมใหม่ซึ่งไม่ใช่ความหลากหลายเหมือนเช่นกิจกรรมและแนวโน้มของกลุ่มนักเคลื่อนไหวและนักการเมืองจำนวนมากที่เคยชี้แนะไว้  แต่ เมื่อตรวจดูใกล้ๆต่อสิ่งที่เป็นฝูงชนที่วุ่นวายสับสนของคนทำผิดทางการเมืองที่รวมเข้ากับภาพลักษณ์ของผู้หญิง การเป็นผู้หญิง ชาวต่างชาติ คนผิวสีและคนยากจน กล่าวอีกนัยคือ เกย์ที่เป็นผิวสีและผู้หญิงเป็นคนที่อยู่ในปัญหาของการวางแผนเชิงวาทกรรมแบบบรรทัดฐานรักเพศเดียวกันซึ่งเป็นของนักวิชาการและนักวิจารณ์เกย์ผิวขาว
                หนัง Brokeback Mountain เป็นผลผลิตที่น่าพอใจที่เกิดขึ้นผ่านการลบล้างหรือการลดเสียงและลบร่างกายของคนผิวสีและสตรีเพศ  ความดึงดูดทางการตลาดของหนังเรื่องนี้วางอยู่บนสิ่งที่ทำให้มันดูเหมือนการสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบ “การปฏิวัติ” โดยทำให้เรื่องราวของครอบครัว ความรักและรัฐชาติยังคงดำรงอยู่จริง เป็นอีกครั้งที่ความคล้ายกันถูกเก็บรักษาไว้ที่ความไม่เท่าเทียม  มันไม่ได้ทำให้ยุ่งเหยิงมากเท่ากับการผสมผสานสิทธิเข้ากับภูมิทัศน์ของความเป็นชาติ  ตัวอย่างเช่น  แฟรงค์ ริช ผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองและสื่อมวลชน เขียนบทบรรณาธิการให้กับนิวยอร์คไทม์ เป็นบทกลอนเกี่ยวกับชัยชนะกระแสหลักของภาพยนตร์ เขาอธิบายประสบการณ์ที่ได้ดูหนังว่า
ในโรงภาพยนตร์ที่ผมดูหนัง Brokeback Mountain หนังตัวอย่างมีเรื่องการชักชวนให้สมัครผู้รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ และคนดูก็มาจากทั่วประเทศ วัฒนธรรมที่กำลังมองดูภาพยนตร์เรื่องนี้มิใช่เพราะว่ามันมีพลัง  แต่เป็นการพิจารณาถึงความรักที่ถูกพิพากษา และเป็นการแสดงที่งดงามโดยทุกคนตรึงตาตรึงใจกับฮีต เลดเจอร์  ตัวแปรเอ็กส์ก็คือภาพยนตร์ทำให้เกิดเรื่องราวที่ไม่มีการเล่ามาก่อนโดยฮอลลีวู้ด
                อย่างไรก็ตาม ผมไม่ต้องการทำให้มันดูเหมือนว่าชาวเกย์เลสเบี้ยนเป็นพวกที่ตอบสนองทางการตลาดเพียงอย่างเดียว  ผมอยากต่อต้านความคิดเกี่ยวกับการขว้างความรักและความสัมพันธ์ทางเพศทิ้งไปและมองดูปฏิสัมพันธ์ของชาวเกย์ซึ่งมิใช่การแสดงพฤติกรรมบริโภคเท่านั้น   ผมดำเนินตามเบลล์และเบนนีและนักทฤษฎีเควียร์คนอื่นๆที่โต้แย้งต่อข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความรักที่แพร่หลาย เพื่อที่จะมองว่าสิ่งนี้เป็นจริยธรรมของการดูแลซึ่งกันและกัน  ผมจะห่างไกลจากความคิดเรื่องการแข่งขันของปัจเจกและรับผิดชอบต่อความคิดเรื่องการแสดงอารมณ์และความรักแบบประชาธิปไตย

ความรักคือคำตอบใช่หรือเปล่า ?

ผู้คนในปัจจุบันไม่สามารถเข้าใจความรักในฐานะที่เป็นความคิดเชิงการเมือง แต่ความคิดเรื่องความรักคือสิ่งที่เราต้องการที่จะสัมผัสกับอำนาจของมวลชนที่เป็นตัวแทน  ความคิดสมัยใหม่ของความรักถูกจำกัดขอบเขตให้เหลือแค่คู่รักชนชั้นกลางและปิดกั้นให้อยู่ในครอบครัวเดี่ยว  ความรักกลายเป็นเรื่องส่วนตัวที่เข้มงวด เราต้องการความคิดเกี่ยวกับความรักที่เปิดใจมากขึ้นและไม่ถูกล้อมกรอบ  เราต้องการที่จะทำให้ความคิดเชิงการเมืองและสาธารณะของความรักมีพลังเหมือนกับอดีตที่ผ่านมา  ความรักหมายถึงการเผชิญหน้าที่กว้างขวางและความร่วมมือที่ต่อเนื่องที่นำเราไปสู่ความหรรษา... ไม่มีสิ่งใดเป็นอภิปรัชญาเกี่ยวกับความคิดแบบยิวและชาวคริสต์ที่มีต่อพระเจ้า ทั้งความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์และความรักที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าถูกแสดงออกและถูกทำให้ปรากฎร่างในเรื่องราวทางการเมืองของมวลชน  เราต้องการแสวงหาความรู้สึกแห่งรักในเชิงการเมืองและวัตถุวิสัย นั่นคือความรักที่แข็งแรงเหมือนกับความตาย  สิ่งนี้มิได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถรักพี่น้อง มารดา และลูกของคุณได้ มันหมายถึงความรักของคุณจะไม่จบอยู่แค่นั้น มันหมายถึงความรักที่จะรองรับเรื่องราวทางการเมืองของเราและการสร้างสังคมใหม่ร่วมกัน ถ้าปราศจากความรัก เราก็ไร้ความหมาย

                ความรักสมัยใหม่และความไม่สมบูรณ์และมายาของมัน ถูกกล่าวหาอย่างไม่รู้จบว่าทำให้คนติดอยู่กับ “เรื่องครอบครัว” และหลุมดำของความสัมพันธ์ สิ่งนี้เกิดขึ้นเสมอในตำแหน่งที่ต่างกันของสถาบันต่างๆ ซึ่งถูกเชื่อมเข้ากับครอบครัว บ้าน ประเทศ และการสืบเผ่าพันธุ์  ความไม่เข้ากันและความซับซ้อนต่างๆไม่ถูกลบไปในสิ่งล่อลวงของมัน ถ้าความรักเป็นคำถาม แล้วก็เป็นคำตอบด้วย นักวิชาการบางคนคิดเช่นนั้น ในกรณีนี้ ความรักจะเป็นทางลัดของการจำกัดขอบเขตของพรมแดนระหว่างเรื่องส่วนตัวและเรื่องสาธารณะให้อยู่ในพรมแดนสำหรับการฝึกฝนพลเมือง  เฮิร์ดและเนกรีเสนอสิ่งที่เป็นเรื่องประหลาดใจในตอนจบของหนังสือของพวกเขา ดูเหมือนจะเป็น “การเทศนาจากปาก” ที่เผชิญหน้ากับอาณาจักร และการพูดเป็นนัยที่มีปัญหาของพวกเขาต่อความรักของชาวคริสต์และชาวยิว   ผู้จัดส่งความรักทั้งสองแบบนี้ทำให้เกิดวิธีการที่เป็นประโยชน์ในการสร้างพิมพ์เขียวสำหรับอนาคตที่เป็นประชาธิปไตย  นั่นอาจจะเป็นอนาคตที่ไม่ถูกครอบครองโดยอารมณ์และความยุ่งยากส่วนตัวและถูกทำให้เป็นส่วนตัว แต่ถูกครอบครองจากการปฏิเสธความรักที่มีต่อครอบครัวและประเทศชาติซึ่งจำกัดความรักให้เหลือเพียงความหมายแบบเสรีนิยมใหม่   อาจกล่าวได้ว่า ความรักในแนวนี้เกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก ซึ่งผลกระทบจะเป็นการควบคุมกลุ่มพันธมิตรและผลประโยชน์ร่วมกัน  ความรักในฐานะเป็นเรื่องทางการเมืองกลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการทำให้ความสัมพันธ์ที่มาจากส่วนต่างๆก้าวไปอย่างมั่นใจภายใต้และท่ามกลางชนชั้น ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ สีผิว เพศสภาพและเพศวิถีที่หลากหลาย
                อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของผมสำหรับความรักมิใช่การทำให้ภาพยนตร์ฟื้นคืนชีพมาใหม่ เราไม่ต้องการ “ความรักที่เหมือนคนอื่นๆ” แต่รูปแบบใหม่ของความรักจะถูกกระตุ้นโดยความปรารถนาและแรงบันดาลใจของคนหมู่มาก และจะไม่ถูกสร้างบทโดยสถาบันของรักต่างเพศ  ข้อเรียกร้องของผมเกิดขึ้นบนข้อความที่มีความหวัง  การทำตามเบลล์และเบนนี ภาระหน้าที่นี้วางอยู่บนบทใหม่ เป็นเรื่องจินตนาการ และมองไปที่ “รูปแบบความสัมพันธ์ที่ยังไม่เคยเห็น”  ซึ่งถูกทำใหม่ในสิ่งที่เราให้ความหมายผ่านความรัก ครอบครัว และมิตรภาพและคิดใหม่ในสิ่งที่เราให้ความหมายผ่านการเป็นพลเมืองหรือ คำที่เหมาะสมกว่านั้นคือ สิ่งที่เราให้ความหมายผ่าน “รูปแบบการเป็นพลเมืองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
                ผมหวังที่จะจบการวิเคราะห์หนังเรื่องนี้โดยไม่นำไปผนวกกับภาพลักษณ์วีรบุรุษ ซึ่งถูกชักชวนในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ความรักของภาพยนตร์ ซึ่งอยู่บนเสื้อที่ห้อยอยู่ในไม้แขวนเสื้ออีกอันหนึ่ง  ความรักเชิงวัตถุวิสัยนี้ถูกจารึกใหม่ด้วยเรื่องราวการครอบครองลักษณะร่วมกันของคนที่ตกทอดมาจากเนื้อเรื่อง  ผมจะจบการวิเคราะห์ด้วยการยกฉากของแจ็คและผู้ชายเม็กซิกันที่ไร้ชื่อที่กำลังเดินเข้าไปในตรอกมืดๆ ผมเห็นพวกเขาอ่อนล้าและเดินเรื่อยๆไปยังสิ่งที่มิใช่หุบเหวของความรัก แต่เป็นแสงสว่างของประวัติศาสตร์ที่มีเสียงดัง มีรอยเปื้อน สกปรกและร้อนผ่าว

ไม่มีความคิดเห็น: