Writing Queer Cultures:
An Impossible Possibility?
งานวิจัยที่สำคัญของแคธ เวสตัน
เรื่องเกี่ยวกับเกย์ เลสเบี้ยน
และครอบครัวเริ่มต้นด้วยการอธิบายที่อุทิศให้แก่จูลี คอร์เดล (ค.ศ.1960-1983) การอุทิศครั้งนี้มีความน่าพิศวง
เนื่องจากมีการกล่าวถึงความสัมพันธ์และประสบการณ์ซึ่งเวสตันเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญแต่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง คำอุทิศให้จูลี
คอร์เดลจึงมีเรื่องราวต่างๆที่อยู่เบื้องหลัง
ผมไม่เคยรู้จักเรื่องราวของจูลี คอร์เดล แต่โชคดีที่ได้ยินเรื่องนี้มาจากเวสตันเมื่อครั้งที่เธอไปเสนอบทความในการประชุม
OutWrite Conference ในปี ค.ศ.1991 เรื่องของจูลี
คอร์เดลเป็นเรื่องราวชีวิตและโศกนาฏกรรมของผู้หญิงสาวซึ่งต้องการสร้างครอบครัวของตัวเองเพื่อทดแทนกับครอบครัวเดิมที่ปฏิเสธเธอ
เพราะว่าเธอเป็นเลสเบี้ยน
แต่วิถีชีวิตที่เสี่ยงของเกย์และเลสเบี้ยนในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 เป็นชีวิตที่ถูกทอดทิ้ง
จูลีจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย
เวสตันอธิบายว่าความทรงจำเกี่ยวกับจูลีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่องานวิจัยของเธอทั้งในแง่ศีลธรรม
การเมือง และความคิด
เนื่องจากจูลีสร้างครอบครัวที่ฉีกประเพณีซึ่งล้มเหลว
เวสตันอธิบายด้วยความซื่อสัตย์ว่าเรื่องราวของจูลีทำให้เธอวิจารณ์งานศึกษาของตัวเอง
ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เธอต้องเล่าเรื่องราวครอบครัวของเกย์และเลสเบี้ยนเพื่อที่จะทำให้เกย์เลสเบี้ยนในอนาคตเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้น
ในขณะที่ผมฟังเรื่องราวของเวสตัน
ผมก็เริ่มมีคำถามว่าจะมีนักมานุษยวิทยาที่เป็นเกย์และเลสเบี้ยนสักกี่คนที่สามารถเขียนถึงชีวิตของเกย์และเลสเบี้ยนจากการทำวิจัยของตัวเองได้
เป็นเวลาหลายปีที่ผมได้คุยกับนักมานุษยวิทยาที่เป็นเกย์และเลสเบี้ยน
ผมก็เริ่มคิดว่ามีนักมานุษยวิทยามากแค่ไหนที่มีประสบการณ์การทำวิจัยที่สัมพันธ์กับอัตลักษณ์ทางเพศของเขา
และเขาก็ไม่สามารถนำประสบการณ์นี้มาเขียนอย่างเปิดเผยได้
ถ้ายอมรับว่าการศึกษาทางมานุษยวิทยาตามจารีตเดิมไม่ยอมให้มีการเล่าเรื่องของตัวเอง(นักมานุษยวิทยา) ในงานวิจัย
การที่นักมานุษยวิทยาเกย์ไม่นำเรื่องตัวเองมาเขียนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ที่วงการศึกษาเกย์พยายามที่จะเข้าใจ
โดยเฉพาะการตั้งคำถามเกี่ยวกับวาทกรรมของเกย์
ประเด็นของผม
ไม่ต้องการที่จะทำให้งานวิจัยทางมานุษยวิทยาเป็นเรื่องของการสารภาพ
หรือการเล่าเรื่องตัวเอง
ถึงแม้ว่าบางคนอาจต้องการทดลองเขียนเรื่องตัวเองในงานวิจัยก็ตาม ข้อเสนอของผมก็คือ
การที่เกิดความเข้าใจตัวเองระหว่างที่มีการทำวิจัยทางมานุษยวิทยา
เป็นการเปิดเผยกระบวนการทางวัฒนธรรมโดยใช้คำนามเพื่อแสดงให้เห็นถึงการต่อรองและหล่อหลอมให้เกิดอารมณ์แบบโฮโมเซ็กช่วล
ซึ่งจะปรากฎอยู่ในอัตลักษณ์ทางสังคมและรูปแบบทางวัฒนธรรม ถ้างานวิจัยเกี่ยวกับเกย์มีความก้าวหน้า
นักมานุษยวิทยาก็จะใช้งานวิจัยนี้เป็นข้อมูล
ในเวลาเดียวกันในวงวิชาการก็ยังมีการปิดกั้นนักวิชาการที่เป็นเกย์
งานวิจัยเกี่ยวกับเกย์จึงเป็นไปไม่ได้
คำว่า cultural
studies เป็นการศึกษาที่กว้างขวางและเป็นสหวิทยาการที่ศึกษาวัฒนธรรมโดยมิได้แบ่งแยกว่าอะไรวัฒนธรรมชั้นสูงหรือชั้นต่ำ เจริญหรือล่าหลัง ประณีตหรือฉาบฉวย
การศึกษาแนววัฒนธรรมจะมีความสนใจเรื่องพรมแดนความรู้
พรมแดนหรือขอบเขตเป็นเรื่องของพื้นที่ในมิติทางภูมิศาสตร์ สังคม
และจิตวิทยาซึ่งมีความซับซ้อน การศึกษาแนวนี้เห็นได้จากงานของแอนซัลดัว (1987)
เกี่ยวกับชีวิตของเลสเบี้ยนลูกผสมที่ถูกอธิบายด้วยแนวคิดเฟมินิสต์
เรื่องพรมแดนความจริงในยุคหุ่นยนต์ในงานเขียนของฮาราเวย์(1991) และการศึกษาของการ์เบอร์ (1992) เกี่ยวกับพรมแดนทางเพศของคนแต่งตัวสลับเพศ ในคำอธิบายของแอนซัลดัว กล่าวว่าเขตแดนคือเส้นบางๆที่ใช้แบ่งแยก
พรมแดนหมายถึงสถานที่ที่ถูกกำหนดขึ้นจากความรู้สึกซึ่งอาจจะไม่มีจริงในธรรมชาติ
พรมแดนจึงเป็นสภาวะที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้และมีกฎข้อห้ามในตัวเอง
โรซัลโด(1989) เคยสำรวจประเด็นเกี่ยวกับพรมแดนเพื่อใช้ศึกษาทางมานุษยวิทยา โรซัลโดอธิบายว่าวัฒนธรรมในความคิดทางมานุษยวิทยาเป็นเรื่องของระบบที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง
ซึ่งทำให้เกิดการศึกษาสังคมที่ห่างไกลขนาดเล็กที่มีองค์ประกอบที่หลากหลายของความเชื่อ
ความหมายและพฤติกรรม
การไกล่เกลี่ยความหลากหลายนี้จะเกิดขึ้นในมิติของสถาบันและขนบธรรมเนียมต่างๆซึ่งจะช่วยให้สมาชิกในสังคมรู้ว่าตนเองเป็นใคร
วัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องของความหมายที่รับรู้ร่วมกัน
จึงเป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะห์วัฒนธรรมแบบแยกส่วน แต่วัฒนธรรมของมนุษย์ไม่เคยมีความลงตัวหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โรซัลโดอธิบายว่าในชีวิตประจำวันของเราล้วนเต็มไปด้วยพรมแดนที่ซับซ้อนและขัดแย้งตลอดเวลา
ดังนั้นพรมแดนทั้งหลายจึงมิใช่พื้นที่ว่างเปล่าแต่เต็มไปด้วยการกระทำและสร้างสรรค์ที่ต้องสำรวจตรวจสอบ
จนถึงบัดนี้
ผมเริ่มคิดว่านักมานุษยวิทยาเกย์ไม่ค่อยรู้จักพรมแดนหรือเขตแดน
เช่นเดียวกับไม่รู้ว่ามีช่องทางเชื่อมโยง ตัดผ่าน และรุกล้ำในพรมแดนทั้งหลาย
นอกจากนั้นผมคิดว่าการมองดูตัวเองในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผจญภัยข้ามพรมแดนและขจัดความคลุมเคลือ
จะช่วยให้นักมานุษยวิทยาเกย์มองเห็นโอกาสและอุปสรรคที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในขณะที่กำลังศึกษาความหลากหลายทางเพศ สิ่งที่ต้องตระหนักคือยังมีพรมแดนความแตกต่างระหว่างตัวเรากับคนอื่น
ระหว่างนักมานุษยวิทยากับสิ่งที่นักมานุษยวิทยาศึกษา
เมื่อนักมานุษยวิทยาเกย์เอาตัวเองไปผูกติดกับสิ่งที่ศึกษามากเกินไป
จะนำไปสู่ความคลุมเคลือและทำให้มองไม่เห็นว่าอะไรคือ “ความเป็นอื่น”
และ “ความเป็นตัวเรา” ผลที่ตามมาก็คืออาจทำให้การศึกษาทางมานุษยวิทยาสูญเสียความเป็นศาสตร์
หรืออาจไปถึงเป้าหมายของการสร้างสัมพันธ์ระหว่างมานุษยวิทยากับสิ่งที่ศึกษาในแนวคิดหลังพ้นสมัยอาณานิคม
พรมแดนอีกอย่างหนึ่งที่นักมานุษยวิทยาเกย์ต้องข้ามผ่านไป
คือพรมแดนระหว่างการสนทนาและมีส่วนร่วม
ในที่นี้ผมมิได้หมายถึงวิธีการเก็บข้อมูล
แต่หมายถึงการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวกับสัมพันธ์ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ถึงแม้ว่าการไม่เข้าไปแทรกแซงเป็นเรื่องสำคัญของมานุษยวิทยา
แต่ในทางปฏิบัติ นักมานุษยวิทยาหลายคนมักจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆตลอดเวลา
แม้แต่การตั้งคำถามก็อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับตัวเองของบุคคล
ดังนั้นทุกๆที่ที่นักมานุษยวิทยาเดินทางไปล้วนทิ้งร่องรอยของตัวตนเอาไว้ไม่ว่าจะเป็น
ตัวตนของสัญชาติ เผ่าพันธุ์ หรือเพศสภาพ
หากมองในระดับที่เป็นทางการจะพบว่าการเข้าไปมีส่วนร่วมของนักมานุษยวิทยาจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เมื่อนักมานุษยวิทยาต้องการเปลี่ยนหรือสร้างสิ่งต่างๆ ความหมายของวัฒนธรรมในการศึกษา cultural
studies หมายถึงระบบของสัญลักษณ์เพื่อจัดระเบียบแบบแผนของความคิด
พฤ๖กรรม และเหตุการณ์ต่างๆ
ถ้าภาษาเป็นตัวสร้างองค์ความรู้ตามที่ฟูโก้เคยกล่าวไว้
ดังนั้นการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมเกย์ก็เป็นการสร้างความรู้เกี่ยวกับเกย์
วัฒนธรรมเกย์จึงเป็นเรื่องของการแข่งขันต่อสู้ทางการเมืองและทางสติปัญญา
การทำวิจัยเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเกย์จึงหลีกหนีไม่พ้นการถกเถียงเรื่องการเมืองและความรู้
ประเด็นดังกล่าวนี้เกี่ยวข้องกับพรมแดนการศึกษาเกย์ในมิติมานุษยวิทยา
กล่าวคือ
พรมแดนระหว่างแนวคิดทางสังคมและแนวคิดความเป็นแก่นแท้เป็นเรื่องที่นักมานุษยวิทยาต้องเผชิญ
ผมกล่าวถึงสิ่งนี้เพื่อที่จะย้ำความเชื่อของตัวเองที่ว่าความตึงเครียดของแนวคิดที่ต่างกันสองด้านนี้มีอยู่ในงานวิจัยและงานเขียนเกี่ยวกับเกย์ แฮร์รี เฮย์
ซึ่งเป็นคนสำคัญในกระบวนการเคลื่อนไหวของสมาคมแมตตาชินในช่วงทศวรรษที่ 1950
เคยกล่าวว่า โฮโมเซ็กช่วลกำลังหาประวัติศาสตร์ซึ่งในการศึกษาเรื่องราวของเกย์
การสร้างประวัติศาสตร์นี้มีสมมุติฐานอยู่บนเวลาปัจจุบัน
และเชื่อว่ารูปแบบความรักของคนเพศเดียวกันก็มีอยู่ในช่วงเวลาในอดีตด้วย
แต่ประวัติศาสตร์ของคนรักเพศเดียวกันจะถูกลบไปจากบันทึกของสังคม ความเชื่อดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่ในงานวิจัยของนักมานุษยวิทยาเกย์
ซึ่งมีวิธีคิดที่หยิบยืมมาจากทฤษฎี essentialism และ constructionism
พรมแดนอีกอย่างหนึ่งคือพรมแดนระหว่างวิชาการและสาธารณะ
ถึงแม้ว่านักมานุษยวิทยาเกย์หลายคนพยายามต่อสู้เพื่อให้วงวิชาการยอมรับการศึกษาเกย์
แต่สาธารณะก็อยากอ่านเรื่องราวของเกย์ที่เขียนโดยนักมานุษยวิทยา สำนักพิมพ์ทางวิชาการค่อนข้างอ่อนไหวกับการขายหนังสือที่ไม่ค่อยมีคนอ่าน
แต่ปัจจุบันนักวิชาการเกย์สามารถนำงานวิจัยเกี่ยวกับเกย์มาพิพม์เผยแพร่ได้ง่าย
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลทางการเงิน นักมานุษยวิทยาเกย์หลายคนต่างทำลายพรมแดนระหว่างการเป็นนักวิชาการและการเป็นคนที่สาธารณชนรู้จัก
ผมเชื่อว่าการรวมตัวของกลุ่มเกย์มาจากการที่พวกเขาถูกมองว่าเป็นคนแปลกประหลาดจากสังคม
ชาวเกย์จึงเปรียบเสมือนผู้เฝ้ามองดูวัฒนธรรมของคนที่เป็นรักต่างเพศ
ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่อื่นๆ
ชาวเกย์จะมีชีวิตอยู่ได้จำเป็นต้องปรับตัวให้อยู่ได้ในทุกพรมแดน
ไม่ว่าจะเป็นพรมแดนทางสังคมหรือวาทกรรม
อาจกล่าวได้ว่า
เรื่องราวของโพสต์มอเดิร์นซึ่งมีอัตลักษณ์ที่หลากหลายอาจเป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเกย์ต้องนำมาเป็นแนวทางเพื่อเขียนวัฒนธรรมของชาวเกย์
คุณค่าของการทำความเข้าใจตัวเองตามกรอบนี้
เป็นคุณค่าที่ให้ความสนใจกับประสบการณ์ของคนชายขอบ
ซึ่งนักมานุษยวิทยาเกย์ต้องการจะแยกประสบการณ์นี้ออกมาจากรายงานวิจัยแบบทางการ
สิ่งนี้ยังรวมถึงคนอื่นๆที่อัตลักษณ์และอารมณ์ทางเพศส่วนตัวถูกเบียดบังด้วยอาชีพการงาน ปฏิสัมพันธ์ลักษณะนี้คือการหล่อหลอมและไกล่เกลี่ยนความหมายของตัวตนทางเพศ
ซึ่งเกิดขึ้นกับนักมานุษยวิทยาและสิ่งที่นักมานุษยวิทยาศึกษา หากมองจากการศึกษาแนว cultural studies จะพบว่าสิ่งนี้คือประสบการณ์ที่ควรถูกบันทึก แต่น่าเสียดาย
ที่นักมานุษยวิทยาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้เนื่องจากอุปสรรคบางประการ ประมาณ 2 ทศวรรษหลังจากเหตุการณ์ที่สโตนวอลล์
การเขียนวัฒนธรรมของเกย์ยังคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ท่ามกลางอุปสรรคทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวาทกรรมของเควียร์
อุปสรรคสำคัญที่สุดคือการกีดกันทางสังคมมิให้มีการพูดถึงโฮโมเซ็กช่วล
พวกเรายังคงไร้เสียงและไม่สามารถพูดถึงโฮโมเซ็กช่วลได้อย่างอิสระ นักมานุษยวิทยาเกย์ค้นพบคุณค่าของวาทกรรมเมื่อมีการเขียนเกี่ยวกับโฮโมเซ็กช่วล ใครก็ตามที่พูดว่า “ผมก็เป็นเกย์”
ก็จะถูกแยกประเภทและถูกละเลยโดยทันที เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นเหมือนการประชดประชัน
เพราะการบอกตัวตนที่แท้จริงก็เหมือนกับการบอกอารมณ์ความรู้สึก แต่ในธรรมเนียมตะวันตกยอมรับแค่อารมณ์แบบรักต่างเพศเท่านั้น
หากมีการพูดถึงอารมณ์แบบโฮโมเซ็กช่วลสังคมก็ยังคงหวาดกลัว
นักมานุษยวิทยาเกย์ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันทางอาชีพและสังคมเพื่อที่จะเยียวยารักษาตัวตนที่ซับซ้อนระหว่างการเป็นทั้งคนนอกและคนใน เพื่อที่จะเน้นให้เห็นความกำกวมของการข้ามผ่านพรมแดน
เพื่อที่จะหลีกหนีตัวตนทางเพศของผู้ที่ติดต่อสัมพันธ์ด้วย
และเพื่อนำเรื่องราวของตนเองมาเขียน
การเป็นเกย์และการเขียนเรื่องเกี่ยวกับเกย์คือการสร้างบันทึกที่แหกกฏ
ซึ่งจะทำให้นักมานุษยวิทยาเกย์กลายเป็นคนชายขอบต่อไปเรื่อยๆ พอล ราบินาวกล่าวว่า เรื่องเขียนเกี่ยวกับตัวเองจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นตนเองมีสิทธิซึ่งดูน่าสมเพช
แต่การเขียนเรื่องตัวเองเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
ซึ่งนิตเช่เคยเตือนให้เราระมัดระวังมาแล้ว
บางที
ผมอาจทำให้เรื่องเสี่ยงนี้มีความกระจ่างขึ้น ถ้าผมยกตัวอย่างนักมานุษยวิทยาบางคนที่เขียนเรื่องวัฒนธรรมเกย์
และเขาก็เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองในงานเขียนนั้น
หรือเอาความเป็นเกย์ของตัวเองมาสร้างเป็นความรู้ คนที่ผมนึกถึงได้แก่โทเบียส ชนีบูม และจูดี้
แกรน
ทั้งสองท่านนี้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองและนำเรื่องของตัวเองมาเขียน ในบทนำในเรื่อง Another Mother Tongue แกรนเคยอธิบายว่าเธอเป็นคนที่อ่านมา
คิดมาก ค้นหาประวัติศาสตร์ และบ่นกับตัวเอง
สิ่งนี้มิใช่การสารภาพที่จะพบเห็นในบทนำของนักมานุษยวิทยา
ส่วนชนีบูมจะมีการเขียนเรื่องราวการมีเพศสัมพันธ์ของชนีบูมกับคนพื้นเมือง บุคคลทั้งสองนี้จุดระเบิดให้เกิดการโต้เถียงว่างานเขียนของพวกเขาเป็นงานมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์หรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าการเขียนในทำนองนี้
ไม่ว่ามันจะเป็นการวิจัยหรือไม่
แต่มันก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบและอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่าไม่ใช่งานวิจัยทางมานุษยวิทยา
แต่เป็นเพียงเรื่องเล่าจากการเดินทาง เป็นความทรงจำส่วนตัว
หรือเรื่องรักๆใคร่ๆ
การพัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับเกย์อาจต้องการความอดทนในการทำงานซึ่งมีวิธีการของตัวเองและมีความเสี่ยงในการที่จะนำเสนออารมณ์แบบโฮโมเซ็กช่วลในวาทกรรม
นอกจากนั้นนักมานุษยวิทยาเกย์ยังมีอุปสรรคส่วนตัวและเชิงจริยธรรมติดตัวอยู่ตลอดเวลา
เนื่องจากนักมานุษยวิทยาเกย์ไม่สามารถเขียนถึงผู้ที่เขาเกี่ยวข้องด้วยโดยไม่เปิดเผยตัวเอง
หากนักมานุษยวิทยาเกย์ทำงานกับคนที่เป็นรักต่างเพศในชุมชน
คนเหล่านั้นอาจไม่พูดเรื่องราวของโฮโมเซ็กช่วลในวัฒนธรรมของเขา ซึ่งอาจทำให้โฮโมเซ็กช่วลถูกลบทิ้งไป ในเวลาเดียวกัน
การนำเรื่องราวของขบวนการเรียกร้องเสรีภาพของชาวเกย์มาผนวกกับข้อวิจารณ์ของโพสต์มอเดิร์นซึ่งโจมตีอำนาจของการเขียน
ช่วยให้เห็นว่านักมานุษยวิทยาเกย์จะต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับโฮโมเซ็กช่วล
และความเป็นเกย์ของตนเองด้วย หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวที่นักมานุษยวิทยาเกย์มีต่อคนอื่นๆที่มีเพศสภาพเหมือนกับตน
ความล้มเหลวต่อการตั้งคำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศมีผลกระทบต่อผู้อื่นมากพอๆกับการเปิดเผยว่าตนเองเป็นเกย์
เช่นเดียวกับงานวิจัยของนักมานุษยวิทยาชายหญิงที่ต้องถูกตรวจสอบเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะสามีภรรยาที่เป็นนักมานุษยวิทยา
คำถามคือชาวบ้านที่ถูกศึกษาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อนักมานุษยวิทยาที่แสดงบทบาททางเพศแบบชาวตะวันตก คนพื้นเมืองจะจัดการกับพฤติกรรมและคำพูดของตนเองอย่างไรเพื่อให้นักมานุษยวิทยาตะวันตกเข้าใจ
คำตอบต่อคำถามนี้ เราต้องหาอุปสรรคต่างๆที่มีอยู่นอกและในวาทกรรมเกี่ยวกับเควียร์ ปัจจุบันนี้
แบบแผนที่ดีที่สุดของนักมานุษยวิทยาเกย์ก็คือการอยู่ในสองวัฒนธรรม
เหมือนกับชนพื้นเมืองในอเมริกาที่เข้ามาอยู่ในเมือง
นักมานุษยวิทยาเกย์อาจทำงานวิจัยเพื่อรักษาสถานะทางวิชาการ
และในเวลาเดียวกันเขาก็ต้องมีอิสระที่จะศึกษาค้นคว้าประสบการณ์ชีวิตของเกย์
สื่อและสิ่งพิมพ์ของนักมานุษยวิทยาเกย์คือตัวอย่างของการสร้างพื้นที่ที่ทำให้พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว
เรื่องราวที่น่าหลงใหลแต่อยู่ชายขอบในประวัติศาสตร์มานุษยวิทยาในอเมริกาก็คือ
มีนักมานุษยวิทยาส่วนหนึ่งทำงานเป็นนักเขียนและกวี
สิ่งเหล่านี้ผมเชื่อว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดต่อปัญหาส่วนตัวซึ่งจะถูกนำไปเขียนเป็นนิยาย
มากกว่าจะเป็นงานวิจัย ในวงวิชาการอาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่อาจมีหนทางอื่นๆที่นักมานุษยวิทยาเกย์จะบันทึกและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตและวัฒนธรรมของเกย์
ส่วนปัญหาภายในของวาทกรรมเควียร์
จะเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความจริงเชิงมานุษยวิทยาแบบจารีตนิยมซึ่งใช้ไม่ได้เมื่อนำมาศึกษาเรื่องเกย์
นักมานุษยวิทยาเกย์ไม่สามารถนำเรื่องราวของคนที่มีรสนิยมเหมือนกันที่พบในพื้นที่มาเขียนในเชิงวิชาการ
หรือเชิงจินตนาการได้หมด
ในงานวิจัยที่ผมทำ ผมได้พบทางเลือกใหม่ในการทำงานร่วมกับชาวบ้าน
โดยการสังเกตจากวิธีปฏิบัติและตัวตนทางอาชีพของชาวบ้าน ตัวอย่างเช่น การเป็นนักสังคมสงเคราะห์
นักสื่อสารมวลชน หรือนักบำบัด
ชาวบ้านที่มีอาชีพต่างๆกันนี้จะสร้างความสัมพันธ์
และรักษาสมดุลของภาระหน้าที่ระหว่างชาวบ้านกับการเป็นนักมานุษยวิทยาและสถาบันที่นักมานุษยวิทยาทำงานอยู่
การเรียนรู้เรื่องราวจากการเป็นนักมานุษยวิทยา
อาจช่วยให้มองเห็นวิธีการที่ชาวพื้นเมืองต่อต้านนักมานุษยวิทยา ตัวอย่างเช่น ชาวซูนีเรียนรู้ว่าการเป็นคนพื้นเมืองคือการเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรม
แต่ชาวตะวันตกมองว่าพวกเขาไม่มีประวัติศาสตร์
ดังนั้นหากคิดว่าพวกเขาคือนักประวัติศาสตร์
ก็จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง การอนุรักษ์วัฒนธรรมและการวิจัยทางมานุษยวิทยาอาจจะได้ข้อสรุปที่เหมือนๆกัน
แต่ยังคงมีความแตกต่างในวิธีการคิดและทัศนคติระหว่างการอนุรักษ์
และงานวิจัยทางมานุษยวิทยา
เนื่องจากการอนุรักษ์เป็นเรื่องที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆทั่วโลกต่างเผชิญอยู่
ส่วนการวิจัยทางมานุษยวิทยาเป็นวิธีการแสวงหาความจริงของชาวตะวันตกที่ไปศึกษาคนอื่น
ข้อถกเถียงของมานุษยวิทยาแนวโพสต์มอเดิร์น
ก็คือการตอกย้ำความคิดที่มาจากการเขียนถึงประสบการณ์ภาคสนามของนักมานุษยวิทยา
ยังมีวิธีการหลายอย่างที่จะอธิบายปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ซับซ้อน
โดยไม่ต้องพึ่งวิธีการเขียนแบบนวนิยาย โดยเฉพาะเมื่อมีสื่อแขนงต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ด้วยเหตุนี้ นักมานุษยวิทยาอาจได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น ผมกำลังคิดถึงภาพยนตร์ทางชาติพันธุ์ งานศิลปะและวรรรณกรรมของชาวบ้าน สื่อที่ใช้สอน ประวัติศาสตร์บอกเล่า
การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์
และโครงการอื่นๆที่นักมานุษยวิทยาเข้าไปทำงานร่วมกับชาวบ้าน
ผมคิดว่ารูปแบบการทำงานของนักมานุษยวิทยาที่มีประโยชน์ที่สุดน่าจะเป็นการที่นักมานุษยวิทยาทำหน้าที่เป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรม
และนักมานุษยวิทยาเกย์ทำหน้าที่เป็นผู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ครั้งหนึ่งที่ผมเดินทางไปศึกษาชาวซูนี
ผมนำรูปภาพที่ถ่ายจากงาน Folsom Street Fair ไปให้ชาวซูนีดู งานนี้เป็นงานของชาวเกย์ในซานฟรานซิสโก
เมื่อผมได้คุยกับชาวซูนีโดยใช้ภาพถ่ายเป็นตัวช่วย
ผมก็เริ่มเรียนรู้คำศัพท์ทางเพศของพวกเขา
อีกตัวอย่างหนึ่งมาจากการทำงานของเพื่อนผม คือวิลล์ โดเฮอร์ตี้ ซึ่งเขาเข้าไปศึกษาคนเพศที่สามในอินเดียหรือ hijra
การศึกษาของวิลล์เป็นการศึกษาทางมานุษยวิทยาแต่ตัวเขาจะไม่แสดงตัวว่าเป็นนักมานุษยวิทยา
แต่เขาได้นำภาพถ่ายของชาวเกย์ในอเมริกาที่เดินขบวนเรียกร้องสิทธิไปให้ฮิจาราดู วิลล์อธิบายให้ฮิจาราเข้าใจว่าภาพถ่ายเหล่านี้คืออะไรเพื่อที่จะให้ฮิจาราพูดถึงเรื่องของเขาบ้าง
บทบาทการเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมและการติดต่อแลกเปลี่ยนกับวัฒนธรรมอื่นจะทำให้เกิดการร่วมมือ
โดยส่วนตัวผมเห็นว่าการศึกษาด้วยวิธีการนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นเมื่อการสนทนาทำให้รู้สึกอึดอัดที่จะตอบคำถามหรือการเปิดเผยตัวเอง บรูโน ลาทัวร์(1987) เคยกล่าวว่ามานุษยวิทยาแบบจารีตเป็นการสร้างความรู้ตามแบบสังคมอุตสาหกรรม “วัตถุดิบ” ของนักมานุษยวิทยาคือการสังเกตวัฒนธรรมอื่นที่อยู่ห่างไกล
โดยนักมานุษยวิทยาจะเข้าไปเก็บข้อมูลและนำออกมาสู่โลกตะวันตกเพื่อที่จะเขียนเป็นงานวิจัย
บางทีนักมานุษยวิทยาในอนาคตอาจวิเคราะห์การทำงานของนักมานุษยวิทยายุคปัจจุบันว่าเป็นการให้บริการทางเศรษฐกิจในยุคหลังอุตสาหกรรม
หากเป็นเช่นนั้น
การศึกษาทางมานุษยวิทยาต้องเปลี่ยนจากการเก็บข้อมูล ไปสู่การส่งต่อข้อมูล
นักมานุษยวิทยาในอนาคตอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ซึ่งต้องก้าวข้ามพรมแดนต่างๆเพื่อที่จะนำเรื่องราวทางวัฒนธรรมมาเผยแพร่ต่อสาธารณะทั้งที่มาจากดินแดนห่างไกลและโลกตะวันตก
เมื่อนักมานุษยวิทยาเข้าใจการทำงานของตัวเองว่าเป็นงานที่จะต้องสร้างและข้ามผ่านพรมแดนต่างๆ
นักมานุษยวิทยาในอนาคตก็อาจทำงานเหมือนนักมานุษยวิทยาเกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กช่วล
หรือ คนข้ามเพศในปัจจุบัน
นักมานุษยวิทยาอาจรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการคือการสนับสนุน
การอำนวยความสะดวก และอิสระต่อการแสดงออก
เพื่อที่จะสามารถทำวิจัยเกี่ยวกับเควียร์ที่เป็นไปได้จริง
แปลและเรียบเรียงโดย
ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ จาก Will Roscoe. “Writing Queer Culture” in Ellen
Lewin and William L. Leap. (eds). Out in the Field. University of Illinois
Press, Chicago. 1996. Pp.200-208.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น