“ไม่ยอม” หรือ “ไม่ปฏิเสธ”
ปฏิบัติการแสดง หรือ performativity
ในฐานะเป็นทฤษฎีมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับนักปรัชญาชาวอเมริกัน
ชื่อจูดิธ บัตเลอร์
ซึ่งเขียนหนังสือที่โด่งดังหลายเรื่องและทำให้เธอพัฒนาแนวคิดที่เรียกว่า
“ปฏิบัติการแสดง” เพื่อใช้ศึกษาภาษาและวัฒนธรรม
จุดสำคัญของแนวคิดดังกล่าวนี้มาจากความคิดของ เจ แอล
ออสตินซึ่งเคยอธิบายเรื่องการแสดงเอาไว้
ความคิดของ
ออสตินอธิบายว่าภาษาเปรียบเสมือนการกระทำ
ภาษาสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้และทำให้เกิดสังคมชนิดใหม่ การแสดงตามแบบของออสตินเริ่มต้นจากการประกาศว่า
“ฉันขอสัญญา” อย่างไรก็ตาม
ในบทสรุปของออสติน ไม่ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างการแสดงกับการพูด ออสตินประกาศว่าการพูดคือการแสดงที่แท้จริง
การไม่แยกความแตกต่างระหว่างการพูดและการแสดงคือแนวคิดของออสตินซึ่งบัตเลอร์นำมาใช้ในการศึกษาของเธอ บัตเลอร์สนใจเรื่องเพศสภาพ
และยืนยันว่าการพูดที่แสดงว่า “เป็นผู้หญิง”
มาจากคำพูดของแพทย์ที่บอกกับมารดาที่เพิ่งคลอดบุตรซึ่งมิใช่การอธิบาย เหมือนกับพระที่พูดว่า
“ฉันขอประกาศให้คุณเป็นสามีและภรรยา” คำพูดที่อบกว่า
“เป็นผู้หญิง” กำลังแสดงการกระทำออกมา
แต่มีบางอย่างในการวิเคราะห์ของบัตเลอร์
เธออธิบายว่าการตั้งชื่อเป็นการกระทำที่บังคับให้เด็กกลายเป็นผู้หญิง
การตั้งชื่อเป็นการกระทำที่ถูกออกแบบไว้แล้วเพื่อให้สอดคล้องกับบรรทัดฐาน เมื่อมีการตั้งชื่อจะทำให้เด็กมีเพศสภาพที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติทางวัฒนธรรม
ซึ่งบุคคลจะถูกกำหนดไว้ว่าต้องแสดงอย่างไร ตั้งแต่การนั่งบนเก้าอี้ การแสดงอารมณ์
และตัดสินใจว่าจะรับประทานอาหารมื้อเย็นหรือไม่
เรื่องที่เกี่ยวกับแนวคิดนี้อาจทำให้ผมมีข้อโต้แย้ง ก็คือ
หลังจากบุคคลแสดงตามบทที่กำหนดแล้ว จะมีอะไรต่อไป
หนังสือของบัตเลอร์ในปี ค.ศ.1990 เรื่อง
Gender Trouble อธิบายให้เห็นว่าปฏิบัติการแสดงกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นในทุกเรื่อง แนวคิดนี้แพร่กระจายไปสู่สาขาวรรณกรรม
ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา หรือแม้แต่การศึกษาของอเลซซานโดร ดูแรนติ
ปัจจุบันนี้นักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์คิดว่าแนวคิดเรื่องการแสดงอาจกลายเป็นเรื่องแปลก เพราะ ในขณะที่ “ปฏิบัติการแสดง” หรือ performativity เป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในหลายสาขาต่างๆ
แต่ยังมีแนวคิดที่คล้ายกันซึ่งมีมานานแล้วพูดถึงการแสดงในทำนองเดียวกัน
หรือย่างน้อยก็มีความคล้ายกัน แนวคิดนั้นคือ performance
หรือ การแสดง
แต่ “การแสดง” ไม่เหมือนกับ “ปฏิบัติการแสดง” ความแตกต่างก็คือ
การแสดงหมายถึงการที่บุคคลทำบางสิ่งบางอย่าง
แต่ปฏิบัติการแสดงของบัตเลอร์เป็นกระบวนการที่มีบุคคลเกิดขึ้น
ความแตกต่างอย่างสำคัญนี้สูญหายไปจากข้อวิจารณ์การศึกษาหลายชิ้นของบัตเลอร์ ข้อโต้แย้งในระยะแรกๆต่อแนวคิดของบัตเลอร์
มองว่า “ปฏิบัติการแสดง” เป็นสิ่งเดียวกับ
“การแสดง” เพราะเชื่อว่าบุคคลสามารถเลือกหรือปฏิเสธเพศสภาพของตัวเองได้
คล้ายกับการเลือกใส่เสื้อผ้า ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด “การแสดง” เป็นเพียงมิติเดียวของ
“ปฏิบัติการแสดง” แต่ทฤษฎีปฏิบัติการแสดงเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ถูกถ่ายทอดหรือแสดงออกมาในบริบทสังคมเป็นสิ่งสำคัญที่เชื่อมโยงถึงสิ่งที่ไม่ได้ถูกแสดง
การวิเคราะห์การกระทำหรืออัตลักษณ์ต้องคำนึงถึงสิ่งที่ไม่สามารถแสดงออกมาด้วย นอกจากนั้น
การนำแนวคิดปฏิบัติการแสดงไปศึกษาภาษา จะทำให้เกิดการตั้งคำถามวัฏจักรของภาษาในสังคม
มิได้เพียงบอกว่าใครคือผู้มีอำนาจในการบังคับใช้ภาษา ภาษาถูกใช้อย่างไร
ภาษามีอำนาจหรือไม่ ภาษาทำให้เกิดผลกระทบหรือไม่
และภาษาทำให้เกิดคนที่มีอำนาจหรือไม่
การปฏิบัติการแสดงมิใช่แนวคิดทางภาษาศาสตร์ ออสตินก็มิใช่นักภาษาศาสตร์ แต่เขาเป็นนักปรัชญาเช่นเดียวกับบัตเลอร์
ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้วงการภาษาศาสตร์ไม่ค่อยพูดถึงปฏิบัติการแสดง มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับการแสดง
แต่ไม่ค่อยมีการศึกษาเรื่อง “ปฏิบัติการแสดง”
ความแตกต่างระหว่างสองแนวคิดนี้เป็นสิ่งที่ผมพยายามจะนำเสนอในบทความนี้
ผมพยายามชี้ให้เห็นความแตกต่างโดยการตรวจสอบจากคำพูดเชิงปฏิเสธ หรือ คำว่า
“ไม่” สิ่งที่ผมสนใจคือการพูดว่า “ไม่”
ในสถานการณ์สังคมบางอย่างจะทำให้เกิดสถานการณ์เกี่ยวกับเพศ ผมสนใจว่าการพูดว่า “ไม่”
อาจทำให้บางสิ่งบางอย่างกลายเป็นเรื่องเพศ
การพูดว่า “ไม่”
ถูกจัดระเบียบโดยคำพูดซึ่งไม่จำเป็นต้องแสดงออกหรือถ่ายทอดออกมา ผมต้องการถกเถียงและชี้ให้เห็นการพูดว่า “ไม่”
ในสามสถานการณ์ที่ต่างกัน ได้แก่ 1) การข่มขืนและการล่วงเกินทางเพศ
2) การต่อต้านคนที่เป็นเกย์
และ 3) การมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนทารุณ
(sadomasochistic sex)
การข่มขืนและการล่วงเกินทางเพศ
บริบทที่สำคัญที่สุดสำหรับการวิเคราะห์คำว่า “ไม่”
ในสถานการณ์ทางเพศคือการวิจัยที่ตรวจสอบภาษาที่ใช้ในการข่มขืนและการล่วงเกินทางเพศ งานวิจัยที่สนใจเรื่องการพูดปฏิเสธของผู้หญิง
อธิบายว่าการปฏิเสธถูกกำหนดมาจากความคาดหวังและความต้องการของ “ความเป็นหญิง”
คำอธิบายที่มีพลังที่สุดคือการยืนยันว่าการปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ของผู้หญิงจะไม่ได้รับความสนใจจากวัฒนธรรมที่มีผู้ชายเป็นใหญ่ ในวัฒนธรรมที่กำหนดให้ผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ
การพูดว่า “ไม่” ต่อการมีเพศสัมพันธ์ของผู้หญิงถูกขวางและถูกบิดเบือนให้เป็นเรื่องของ
“การลองของ” หรือแม้แต่ทำให้เป็นเรื่อง “สมยอม”
ผู้ชายสามารถอ้างว่าไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้หญิงปฏิเสธ
และผู้หญิงที่ถูกข่มขืนก็จะถูกประณามเพราะเธอไม่สามารถยืนยันการปฏิเสธได้อย่างแจ่มชัด กรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อการข่มขืนไม่มีหลักฐานทางวัตถุ
เช่น รอยฟกช้ำ หรือกระดูกหัก
ซึ่งเป็นการยืนยันว่าผู้หญิงปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์จากผู้ชาย
คำอธิบายตามทฤษฎี “ปฏิบัติการแสดง”
กล่าวว่าการวิเคราะห์เชิงภาษาในเหตุการณ์ข่มขืนและการล่วงเกินทางเพศ “ผู้หญิง”
จะถูกสร้างขึ้นจากคำพูดว่า “ไม่” เมื่อพบกับผู้ชายที่ต้องการข่มขืนเธอ สิ่งนี้แตกต่างจาก “ผู้ชาย”
ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าผู้หญิง “ไม่ปฏิเสธ”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
การที่ผู้ชายปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงโดยพูดว่า “ไม่” จะหมายถึงผู้ชายคนนั้นเป็นโฮโมเซ็กช่วล เพื่อที่จะปกปิดการเป็นโฮโมเซ็กช่วล จำเป็นที่จะต้องมีพฤติกรรมอื่นมาแทนที่
เช่น มีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียด ไม่เป็นที่หมายปองของผู้หญิง รูปธรรมเหล่านี้เป็นไวยกรณ์ทางวัฒนธรรม
ซึ่งการพูดว่า “ไม่” จะเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เพศหญิงมีตัวตนทางเพศ และการพูดว่า “ได้” ทำให้ผู้ชายมีตัวตนทางเพศ
คำว่า “ไม่” ในการแสดงการปฏิเสธและปกปิดจะทำให้เกิดการสร้างตัวตนและเพศวิถีแบบรักต่างเพศ
คำพูดที่เกิดขึ้นในการปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จะทำให้ผู้ชายเป็น “ผู้ชาย”
โดยการที่ผู้ชายจะตอบสนองต่อผู้หญิงและทำให้การปฏิเสธของผู้หญิงเป็นการยอมรับ
ส่วนผู้หญิงก็จะทำให้ตัวเองเป็นเพศหญิงโดยการสนับสนุนหรือขยายสถานการณ์ทางเพศให้นานออกไป
การศึกษาภาษาด้วยแนวคิดปฏิบัติการแสดง อาจตั้งคำถามว่า
ระบบความหมายมีขอบเขตสิ้นสุดหรือไม่
การพูดว่า “ไม่” พบข้อจำกัดก็ต่อเมื่อผู้หญิงมิได้พูดว่า “ไม่” แต่พูดว่า
“ได้” ในขณะที่นักวิเคราะห์การพูดทำให้เราเห็นว่าการพูดว่า
“ได้” เป็นการตอบสนองแบบที่พึงประสงค์
เช่น ผู้หญิงตอบสนองให้มีเพศสัมพันธ์
แต่การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นที่พึงประสงค์ในทางวัฒนธรรม ตัวตนทางเพศที่เกิดขึ้นในขณะที่พูดว่า
“ได้”จะเป็นตัวบ่งชี้ในเชิงภาษาศาสตร์
หากมองจากแนวคิดของจาค็อบสันจะพบว่า ตัวตนมิได้มีแต่ผู้หญิง
แต่ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ และชื่อส่วนใหญ่ก็จะเป็นคำที่ไม่ดี เมื่อผู้หญิงพูดว่า “ได้”
เพื่อมีเพศสัมพันธ์ การพูดว่า “ได้”
จะทำให้ตัวตนของผู้หญิงอยู่นอกบรรทัดฐานของรักต่างเพศ ผมคิดว่าผู้หญิงที่พูดว่า “ได้”
เพื่อจะมีเซ็กซ์ ก็ถูกประทับตราอยู่ในข้อเขียนทางวิชาการด้วย
เพียงแต่เป็นการประทับตราที่มองไม่เห็น
เรามีการวิจัยที่ดีเกี่ยวกับการที่ผู้หญิงปฏิเสธมีเซ็กซ์
แต่การวิจัยเหล่านั้นไม่ค่อยมีข้อมูลที่ระบุว่าผู้หญิงยอมมีเซ็กซ์กับผู้ชาย
บทความหนึ่งเคยระบุว่าผู้หญิงหลายคนยอมมีเซ็กซ์กับผู้ชายโดยการพูดว่า
“ไม่” (การวิจัยนี้ใช้แบบสอบถามความคิดเห็นซึ่งเกิดขึ้นในทศวรรษที่
1980 มีการสอบถามผู้หญิง
610 คน
ผู้หญิงกลุ่มนี้กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ถึงแม้ว่าพวกเธอจะพูดว่า “ไม่”
แต่พวกเธอก็ต้องการมีเพศสัมพันธ์
ในจำนวนนี้มีผู้หญิง 68.5 % บอกว่าเคยพูดว่า “ไม่” แต่พวกเธอหมายถึง “อาจจะ” ประมาณ 39.3% เคยพูดว่า “ไม่” แต่หมายถึง “ได้” เมื่อถามว่าทำไมพวกเธอจึงพูด
“ไม่” ทั้งๆที่มีความต้องการเซ็กซ์
ผู้หญิงเหล่านั้นตอบว่าเพราะไม่อยากให้ผู้ชายคิดว่าเธอส่ำส่อน
หรือไม่อยากถูกมองว่าหมกมุ่น
หรือเพราะว่าพวกเธอต้องการควบคุมผู้ชาย เนื่องจากผู้ชายทำให้เธอโกรธ
หรือต้องการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้ชายให้มีมากขึ้น
หรือเพิ่มความก้าวร้าวทางร่างกายมากขึ้น)
การศึกษาเกี่ยวกับ sexuality ทำให้เกิดการสร้างคำพูดว่า “ไม่”
และทำลายข้อจำกัดเมื่อผู้ชายพูดว่า “ไม่” กับผู้หญิง ผมได้กล่าวมาแล้วว่าการพูดว่า “ไม่”
ของผู้ชายจะทำให้คิดไปว่าผู้ชายคนนั้นเป็น “เกย์”
แต่สิ่งที่น่าคิดก็คือ คำว่า “ไม่”
เป็นการขยายขอบเขตหรือยืดเวลา
ภาพยนตร์เรื่อง The Opposite of Sex ในปี ค.ศ.1998 มีตัวละครหลักเป็นผู้หญิงที่ต้องการล่อลวงเพื่อนชายของพี่ชายของเธอให้มามีเซ็กซ์กับเธอ ผู้ชายคนนั้นพูดว่า “ไม่” และสารภาพว่าเขาเป็นเกย์
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอการพูดปฏิเสธเรื่องเพศโดยให้ผู้ชายเป็นฝ่ายพูดว่า
“ไม่”
ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดเมื่อระบบการบ่งชี้บทบาททางเพศพบข้อจำกัดของตัวเอง
คือเมื่อผู้ชายถูกเชิญชวนให้มีเซ็กซ์โดยผู้ชายด้วยกัน
ตัวตนทางเพศในที่นี้มิใช่การที่ผู้ชายทำตามคำเชิญชวนนั้น
กล่าวคือผู้ชายจะเป็นผู้ที่เชิญชวนผู้อื่นให้มีเซ็กซ์ และตัวแบบทางวัฒนธรรมระบุว่าผู้ชายที่ต้องการมีเซ็กซ์กับชายอื่นคือคนที่มีกามราคะมากที่สุด
(ผู้ชายในโลกของรักต่างเพศไม่นิยมการมีเซ็กซ์กับผู้ชาย
ตราบใดที่โฮโมเซ็กช่วลไม่ลองมาเชิญชวนเขาก่อน) การเริงระบำทางเพศในลักษณะนี้ ตัวตนที่ถูกกำหนดก็คือผู้ชายที่พูดว่า
“ไม่” ผู้ที่พูดว่า “ไม่” กำลังทำให้ตัวตนทางเพศเป็นไปตามบรรทัดฐานของรักต่างเพศเพื่อตอบสนองผู้หญิง การพูดว่า “ไม่” ผู้พูดจะสร้างตัวตนของความเป็นหญิงขึ้นมา
กล่าวคือผู้พูดมิได้ปฏิเสธการมีเซ็กซ์มากเท่ากับการอยากมีเซ็กซ์
แต่การพูดว่าไม่เป็นการสร้างคำเชิญชวน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คำว่า “ไม่”
เป็นกับดักและเป็นอุปสรรคให้กับผู้พูดที่เป็นชาย
เช่นเดียวกับที่ผู้หญิงเคยประสบมา ความจริงก็คือ
คำว่า “ไม่”เป็นกับดักที่ล่อให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงติดกับ
ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการวิเคราะห์เรื่องนี้จึงไม่สามารถเข้าใจการแสดงการกระทำเชิงปฏิเสธ
สิ่งสำคัญเพื่อที่จะตรวจสอบคือการย้ำให้เห็นภาษาของการแสดงที่ทำให้เกิดตำแหน่งแห่งหนของตัวตน ตำแหน่งแห่งหนที่อาจจะรองรับการแสดงของอัตลักษณ์ทางเพศที่เข้าคู่กัน
การต่อต้านคนที่เป็นเกย์
คำว่า “ไม่” อาจจะไม่ได้หมายถึง “ไม่” และพลังของการปฏิบัติการแสดงของคำว่า “ไม่”
ก็จะทำให้สถานการณ์เซ็กซ์ดำเนินต่อไป
และจะปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัดในกระบวนการที่เป็นที่รู้จักกันดีในนาม
การต่อต้านคนที่เป็นเกย์
กระบวนการนี้เป็นชื่อที่ถูกต้องตามกฎหมายเกิดขึ้นมาเนื่องจากสาเหตุที่ผู้ชายถูกฆ่าโดยน้ำมือของผู้ชายซึ่งอ้างว่าถูกล่อลวงทางเพศจากผู้ชายคนที่ถูกฆ่า ผลที่ตามมาก็คือกระบวนการต่อต้านคนที่เป็นเกย์ออกมาโต้แย้งว่าการล่อลวงทางเพศนั้นคือการกระทำที่ก้าวร้าว
และผู้ที่ต่อสู้ป้องกันตัวก็จะต้องออกมาตอบโต้ด้วยความรุนแรง
กระบวนการต่อต้านคนที่เป็นเกย์วางอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่า
“ความหวาดกลัวโฮโมเซ็กช่วล”
นี่คือสภาพทางจิตซึ่งเกิดขึ้นมาครั้งแรกในปี ค.ศ.1920 ความเป็นมาของความหวาดกลัวโฮโมเซ็กช่วล
มิใช่ความกลัวของผู้ชายที่จะถูกชายอื่นล่อลวงทางเพศ
แต่ความกลัวนี้มาจากสภาพแวดล้อมที่เริ่มมีชายรักชายเพิ่มมากขึ้น
และสังคมเริ่มควบคุมไม่ได้
รากเหง้าของความไร้ระเบียบนี้มาจากการรักษากลุ่มทหารเรือและทหารบกในโรงพยาบาลในรัฐบาลสหรัฐช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ทหารเหล่านี้ไม่มีอันตราย ตรงกันข้าม
พวกเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ความไร้ระเบียบเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สังคมอ่อนแอ คนฆ่าตัวตาย
การประณามตัวเอง และเก็บตัวเงียบๆ
ดังนั้น
ความหวาดกลัวโฮโมเซ็กช่วลจึงเป็นอาการป่วยที่รักษาไม่หายซึ่งเกิดขึ้นกับคนที่มีจิตใจอ่อนแอ
ผู้ป่วยที่มีอาการของโฮโมเซ็กช่วลจะอยู่ในสภาพไร้จิตสำนึก
แต่ไม่มีอันตราย สิ่งที่เรียกว่า
“ความตื่นกลัวโฮโมเซ็กช่วล” คือการรักษาผู้ชายที่ต้องการจะเปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์และยอมรับสภาพจิตใจของตัวเอง ในความเป็นจริง นักจิตวิทยารุ่นแรกๆหลายคนเข้าใจว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาอาการโฮโมเซ็กช่วลคือทำให้ผู้นั้นยอมรับความรู้สึกและการกระทำของตัวเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 20 คือความเข้าใจเรื่องราวของโฮโมเซ็กช่วลได้เปลี่ยนแปลงไป
ความเข้าใจนี้ยังรวมถึงการที่ผู้ชายสร้างความรุนแรงให้กับโฮโมเซ็กช่วลด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
มีการอธิบายให้เห็นถึงสถานการณ์ต่างๆที่ผู้ชายยอมให้ชายอื่นเชิญชวน
หรือล่อลวงทางเพศ แต่ผู้ชายเหล่านั้นกลับทำร้ายและฆ่าผู้ชายที่เขาเชิญชวน ในบันทึกทางจิตเวชศาสตร์ ไม่มีการคำนวณว่า
“ความตื่นกลัวโฮโมเซ็กช่วล” จะเป็นสาเหตุให้เกิดการใช้ความรุนแรงแบบนี้หรือไม่
แต่ความโกรธเกลียดอาจถูกมองว่ามาจากความตื่นกลัวโฮโมเซ็กช่วล
ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโฮโมเซ็กช่วลจะออกมาอธิบายความรุนแรงและท้าทายหรือล้มล้างภาพตัวตนของรักต่างเพศ
กระบวนการต่อต้านคนที่เป็นเกย์ก่อร่างสร้างตัวขึ้นอย่างหลวมๆบนความเข้าใจเกี่ยวกับความตื่นกลัวโฮโมเซ็กช่วลในระยะหลัง
อาจโต้แย้งได้ว่าเหตุผลทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์คือเหตุผลที่ใช้ตัดสินความตื่นกลัวและพฤติกรรมของคนที่ออกมาต่อต้านและฆ่าเกย์ การศึกษาของอีฟ เซดจ์วิค(1990) อธิบายว่าการทำร้ายเกย์มาจากความเชื่อที่ว่าความรังเกียจเกย์เป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นเรื่องที่ผิดปกติ
เซดจ์วิคกล่าวว่าการทำร้ายเกย์จะเทียบได้กับกรณีที่ชาวเยอรมันซึ่งเหยียดสีผิวเผ่าพันธุ์ถูกนำตัวมารักษาในฐานะเป็นโรคที่หลาดกลัวและฆ่าชาวเติร์กถึงตายได้หรือไม่
หรือเทียบกับความตื่นกลัวบทบาททางเพศของผู้หญิงซึ่งใช้ปืนยิงผู้ชายที่ต้องการข่มขืนเธอได้หรือไม่ ความจริงคือกระบวนการต่อต้านเกย์เกิดขึ้นทุกที่
มิได้มีอยู่ในบุคคลที่หวาดกลัวเกย์เท่านั้น
กล่าวคือความเกลียดโฮโมเซ็กช่วลเป็นเรื่องสาธารณะและเป็นเรื่องธรรมดามากกว่าการเกลียดคนกลุ่มอื่นๆ
การต่อต้านเกย์เกิดขึ้นในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษหลายประเทศ เช่น
สหรัฐ ออสเตรเลีย และแคนาดา ซึ่งการต่อต้านมีสองลักษณะ ลักษณะแรกคือการต่อต้านแบบบ้าคลั่ง
หมายถึงการต่อต้านที่อ้างว่าเกย์คือคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
หรือชอบทำอะไรตามใจตัวเอง
นักกฎหมายโต้แย้งว่ากระบวนการต่อต้านเกย์มิใช่การต่อต้านแบบบ้าคลั่ง
เนื่องจากบุคคลสามารถแสดงความตื่นกลัวต่อโฮโมเซ็กช่วลได้
และพวกเขาก็ออกมาต่อต้านเพราะเชื่อว่าโฮโมเซ็กช่วลเป็นสิ่งที่ “ผิด” ลักษณะที่สอง
คือการต่อต้านที่แฝงมากับการปลุกระดมและยุยงส่งเสริม
การต่อต้านแบบนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าการโจมตีทางเพศและการล่อลวงทางเพศเป็นสิ่งเดียวกัน ในความเป็นจริง
กระบวนการต่อต้านเกย์ออกมาโต้แย้งว่าการล่อลวงทางเพศจากผู้ชายที่เป็นโฮโมเซ็กช่วลคือการโจมตีและทำร้ายทางเพศ ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนล่อลวงจะถูกตัดสินโดยการถูกทำร้ายโทษฐานที่เขาพยายามจะล่วงเกินทางเพศต่อชายอื่น
ในทางปฏิบัติ
กระบวนการต่อต้านเกย์ก่อตัวขึ้นโดยปราศจากการอ้างอิงความรู้ทางจิตวิทยา
ตัวอย่างเช่น ตัวบ่งชี้ของความหวาดกลัวเกย์ในทางจิตวิทยา
จะสัมพันธ์กับบุคคลที่มีแนวโน้มเป็นเกย์ซึ่งถูกกล่าวหาจากสังคม แต่กระบวนการต่อต้านเกย์ไม่สนใจประเด็นนี้ กรณีที่โด่งดังเมื่อไม่นานมานี้คือผู้ชายที่ชื่อโจนาธาน
ชมิตซ์ อายุ 26 ปี
เขาถูกนำตัวมาออกรายการโทรทัศน์ที่ชื่อ เจนนี โจนส์โชว์
เป็นรายการที่นำบุคคลมาพูดคุยและทำให้เพื่อน ครอบครัวและคนรักประหลาดใจ
โดยการเปิดเผยเรื่องราวที่ไม่คาดคิด และเรื่องลับๆเกี่ยวกับตัวเองที่สังคมรับไม่ได้
ชมิตซ์ได้รับการบอกกล่าวจากผู้ผลิตรายการนี้ว่ามีคนๆหนึ่งที่เขารู้จักแอบหลงรักเขาแบบลับๆ
และเขาจะมาเปิดเผยตัวทางโทรทัศน์
ผลปรากฎว่าคนที่แอบรักชมิตซ์คือเกย์อายุ 32 ปีชื่อว่าสก็อตต์ อามีเดอร์
อามีเดอร์เคยเห็นชมิตซ์ในรายการโทรทัศน์และแอบชอบเขา สามวันหลังจากนั้น
ชมิตซ์ได้นำปืนพกติดตัวไปและขับรถไปที่บ้านของอามีเดอร์ จากนั้นก็ยิงเขา 2 นัดที่หัวใจ
ในการสืบสวนคดีนี้ ชมิตซ์ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร
ในกรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าการต่อต้านเกย์ถูกนำมาใช้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทนายความของชมิตซ์มิได้อ้างว่าชมิตซ์มีจิตใจแบบเกย์
หรือสับสนในตัวตนทางเพศ
แต่ทนายอ้างว่าการออกมาสารภาพของอามีเดอร์ทางโทรทัศน์ว่าเขารักชมิตซ์นั้นทำให้เกิด
“การโจมตี”
ทนายของชมิตซ์โต้แย้งว่าการหลงรักชมิตซ์ของอามีเดอร์เป็นการแสดงความก้าวร้าวซึ่งจะได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรง คณะลูกขุนเห็นด้วยกับคำอธิบายในส่วนนี้
และความผิดที่ชมิตซ์ทำลงไปก็มิใช่การฆาตกรรมที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า
แต่เป็นการฆาตกรรมเพราะความโกรธแค้น
เมื่อหันกลับมาทบทวนเรื่องราวของการต่อต้านเกย์ที่เกี่ยวโยงกับสิ่งที่ผมอธิบายมาแล้ว
เกี่ยวกับการพูดว่า “ไม่” ในกรณีของการข่มขืนและล่วงเกินทางเพศต่อสตรี สิ่งแรกที่น่าคิดคือ
ทั้งการข่มขืนและการต่อต้านเกย์อาจดูแตกต่างกัน
ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ทำไมผมจึงไม่เห็นการนำกรณีทั้งสองมาวิเคราะห์รวมกัน ในกรณีของการข่มขืน
เหยือที่ถูกข่มขืนคือผู้หญิงซึ่งไม่ต้องการมีเซ็กซ์กับผู้ชาย ในกรณีของการต่อต้านเกย์
เหยื่อคือผู้ชายที่ล่อลวงหรือเชิญชวนให้ชายอื่นมามีเซ็กซ์ด้วย
ผมคิดว่าสิ่งที่เชื่อมสองกรณีเข้าด้วยกัน ก็คือคำว่า “ไม่” ทั้งสองกรณี
การเชิญชวนทางเพศเปรียบเสมือนเป็นการตั้งคำถาม
ซึ่งทำให้เกิดการสร้างตัวตนทางเพศขึ้นมา
เช่นตัวอย่างของหลุยส์ อัลธูแซร์ (1971) ที่พูดถึงเรื่องตำรวจที่พูดว่า
“นี่คุณ” เป็นการพูดที่สร้างตัวตนให้กับคนที่ถูกเรียกและหันมามอง
ตัวตนแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีการเรียก เมื่อคนที่ถูกเรียกตอบสนอง
คนๆนั้นก็จะมีตัวตนใหม่
เช่นเดียวกับการเชิญชวนทางเพศจะทำให้คนที่ถูกเชิญชวนมีตัวตนทางเพศ ทั้งในกรณีการข่มขืนและการต่อต้านเกย์
ถ้าหากมองจากแนวทฤษฎี “ปฏิบัติการแสดง” จะพบว่าคำว่า “ไม่” มิใช่การปฏิเสธตัวตน
แต่เป็นการตระหนักว่ามีตัวตน
กล่าวคือการตอบสนองต่อเสียงเรียกเป็นการยืนยันตัวตนของผู้ที่ถูกเรียก คำว่า “ไม่” จะมีอยู่ในการอธิบายว่า “ฉันไม่รับรู้ว่าฉันเป็นอย่างที่คนอื่นเรียก”
แต่การไม่รับรู้นี้เกิดขึ้นพร้อมกับรูปแบบของการรับรู้ ในแง่ของโครงสร้างจะเห็นว่า การ “ไม่” ยอมทำตามคำเชิญชวนทางเพศนั้น
เป็นทั้งการปฏิเสธและการยอมรับในเวลาเดียวกัน
ความหมายสองด้านของคำว่า “ไม่” คือการอนุญาตให้ผู้ชายตีความหมายผิดเมื่อผู้หญิงพูดว่า
“ไม่”
และยังทำให้การล่อลวงทางเพศจากชายอื่นกลายเป็นความรุนแรงที่ถูกตัดสินด้วยความรุนแรง
สิ่งที่มีส่วนสร้างตัวตนทางเพศของชายคือการพูดว่า “ไม่” ของคนอีกคนหนึ่ง เมื่อบุคคลเอ่ยคำว่า “ไม่”
จะเป็นการบีบบังคับให้คนๆนั้นไม่มีตัวตนแบบผู้ชาย
ผมคิดว่าด้วยเหตุนี้ที่ทำให้มีกระบวนการต่อต้านเกย์เกิดขึ้น
เพราะการทำร้ายเกย์มักจะไม่มีหลักฐานของการพูดว่า “ไม่” ปรากฏขึ้น คำว่า “ไม่” คือการปฏิเสธ แต่ถ้าไม่มีการพูดว่า
“ไม่” การอาจบ่งบอกว่าคนๆนั้นยอมให้มีการล่อลวงทางเพศและอาจทำให้มีการใช้ความรุนแรงทางร่างกาย
ผมหวังว่าจะมีความชัดเจนขึ้นจากการอธิบายดังกล่าว ประเด็นหลักของผมก็คือ คำว่า “ไม่”
ไม่ได้มีส่วนในการสร้างสถานการณ์ทางเพศมากนัก
แต่สถานการณ์ทางเพศที่มีการสร้างตัวตนทางเพศขึ้นมาจะทำให้เพศสภาพมีพลังมากขึ้น
การมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนทารุณ
การมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนทารุณ
คือตัวอย่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพูดว่า “ไม่”
ซึ่งการตระหนักถึงตัวตนจะถูกสร้างมาเพื่อเรื่องเพศโดยตรง
เป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้าใจว่าคำอธิบายหรือการวิเคราะห์การพูดคุยถึงเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนมักจะพูดถึงสิ่งที่เป็น
“คำพูดขอความเห็นใจ” คำหรือวลีที่ถูกใช้เพื่อการล่อลวงและเชิญชวนทางเพศ
และถูกใช้โดยคนที่เป็นฝ่ายรุกและรับซึ่งเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาต้องการหยุดการกระทำบางอย่าง แง่มุมที่สำคัญที่สุด คือ
คำที่ไม่สามารถเป็นตัวแทนของ “คำพูดที่ขอความเห็นใจ” ก็คือคำว่า “ไม่”
ดูคำพูดต่อไปนี้ จะเห็นว่ามีการอธิบายการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนในคู่มือ
“ฝ่ายรุกกล่าวว่า โอ้
เจ้าหมาน้อยของผม ผมคิดว่าคุณเหมาะที่จะถูกฟาดด้วยแปรงสางผมอันนี้”
“ฝ่ายรับ ตอบว่า (สวมบทบาทเป็นทาสที่เชื่อฟัง) ถ้าคุณชอบแบบนั้นก็ฟาดฉันเถอะ
แต่ถ้าฝ่ายรับเป็นเหยื่อที่ถูกบังคับก็จะตอบว่า อย่าทำฉันเลย ได้โปรด….”
ในสองกรณีนี้
ฝ่ายรุกไม่มีคำแนะนำสำหรับการหยั่งรู้ความรู้สึกของฝ่ายรับ
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
ผู้เขียนคู่มือการมีเซ็กซ์อธิบายว่า เหตุผลที่เราต้องการก็คือ
พวกเราหลายคนชอบเสแสร้งว่าเราไม่ต้องการให้การกระทำที่พิศดารแบบนี้เกิดขึ้นกับเรา เราอาจเสแสร้งโดยการกรีดร้องว่า “ไม่ ไม่
ไม่”
เราจะต้องมีคำอื่นที่ใช้แทนคำว่าไม่
หนังสือคู่มือการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนอีกเล่มหนึ่ง อธิบายว่า
คำอื่นที่มิใช่คำว่า “ไม่” ได้แก่คำว่า “หยุด” “ช้าๆหน่อย”
คำเหล่านี้ถูกใช้ระหว่างมีเซ็กซ์ เพราะเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนเป็นการกระทำทางเพศที่สมยอมกันในรูปแบบของการแสดง ถ้าฝ่ายรับพูดว่า “หยุด”
เพื่อที่จะเลิกมีเซ็กซ์
ฝ่ายรุกก็อาจเสียความมั่นใจ
ฝ่ายรับหลายคนสนุกกับการกรีดร้องและการมีเซ็กซ์แบบพิศดาร การพูดว่า “ไม่ โปรดหยุดเถอะ”
หรือคำอื่นๆที่มีผลทำให้การมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนดำเนินต่อไปได้ คือสิ่งที่ดี แต่ถ้าฝ่ายรุกหยุดทารุณ
ฝ่ายรับก็จะเสียความรู้สึก สับสนและโกรธ
คู่มือการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนอีกเล่มหนึ่งอธิบายว่าการพูดว่า
“หยุดตีฉันเถอะ” อาจหมายถึง “ฉันชอบให้ตี จงตีฉันต่อไป”
เป็นที่กระจ่างชัดว่าคำว่า “ไม่” ในสถานการณ์นี้หมายถึงการยอมรับ
หรือไม่ปฏิเสธ
คำอธิบายในคู่มือกล่าวว่าคำพูดที่ขอความเห็นใจอาจจะเป็นคำอะไรก็ได้นอกเหนือจากคำว่า
“ไม่” “หยุด” หรือ “อย่า”
คำที่อาจแทนคำเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงความเลวร้ายหรือความเจ็บปวด
คู่มือส่วนใหญ่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการส่งเสียงร้อง เช่น คำว่า “อีผักดอง”
หรือ “อีผักกาด”
หรือคำที่เกี่ยวกับไฟจราจร เช่น “สีเหลือง” หมายถึง “ช้าๆ” คำว่า “แดง”
หมายถึง “หยุด”
ประเด็นของผมก็คือ
การตระหนักถึงตัวตนขณะมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนจะเป็นการแสดงความหมายของคำว่า “ไม่”
อย่างเข้มข้น เพื่อที่จะทำให้การมีเซ็กซ์ดำเนินต่อไป ทั้งนี้ คำว่า “ไม่”
มีความหมายสองด้านและยังทำให้เกิดลักษณะของเพศวิถี กล่าวคือ
พรมแดนของเพศวิถีเต็มไปด้วยเรื่องของอำนาจ
ผู้ที่กระทำและดูการกระทำต่อเซ็กซ์แบบป่าเถื่อน จะเห็นพ้องกันว่าเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนทำให้เกิดกามารมณ์และอำนาจ คู่มือเกี่ยวกับเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนมักจะพูดถึงอำนาจ คู่มือเล่มหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมาก
ผลิตโดยกลุ่มซามอยส์
หรือกลุ่มเฟมินิสต์ที่เป็นเลสเบี้ยนและสนับสนุนการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อน
คู่มือนี้ชื่อว่า Coming to Power นิยามของการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนคือการแลกเปลี่ยนอำนาจกามารมณ์ซึ่งกันและกัน
คู่มือเล่มหนึ่งแยกความแตกต่างระหว่าง “อำนาจกดขี่” กับ
“อำนาจเท่าเทียม” กล่าวคือ
อำนาจกดขี่คือการเอาเปรียบผู้อื่น
ส่วนอำนาจเท่าเทียมหมายถึงการที่แต่ละฝ่ายสนับสนุนซึ่งกันและกัน คู่มือเล่มนี้อธิบายว่าการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนคือการเล่นกับอำนาจเพื่อแสวงหาความสำราญ
อำนาจแบบเท่าเทียมในการแสวงหาความสุขทางเพศจะถูกสร้างมาจากแบบแผนของอำนาจที่ถูกจัดระเบียบแล้ว
ซึ่งจะนำมาแสดงในบริบทใหม่
นอกจากนั้นคู่มือยังเสนอแนะว่าฝ่ายรับทุกคนควรจะทำความเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้ที่มีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม
เราอาจโต้แย้งว่าแนวคิดเรื่องการเป็นฝ่ายรับที่มีอำนาจอาจฟังดูมีเหตุผล แต่คนที่ไม่เห็นด้วยเช่นเฟมินิสต์
ซึ่งยืนยันว่าการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนเป็นการตอกย้ำโครงสร้างอำนาจที่ไม่น่าพึงปรารถนา ผู้ที่ไม่เห็นด้วยจะไม่ชอบการใช้อำนาจในการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อน บทบาทสำคัญของคำว่า “ไม่” ที่เกิดขึ้นในการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนมิใช่บทบาทที่คิดเอาเอง ในทางตรงกันข้าม โครงสร้างของบทบาทของคำว่า “ไม่”
ในการสร้างเหตุการณ์เซ็กซ์แบบป่าเถื่อนทารุณนี้ คือโครงสร้างของการเจียระไนและตกแต่งผู้ที่แสดงบทบาท
“ไม่” ให้สวยงามให้เกิดขึ้นในชีวิตทางสังคม
บทบาทนี้มิใช่เป็นเพียง “การแสดง” หรือการผลิตสิ่งของ แต่คำว่า
“ไม่”ทำให้เกิดพรมแดนทางกามารมณ์ที่จับต้องได้ เป็นพรมแดนที่เต็มไปด้วยอำนาจ
ซึ่งจะถูกกำหนดด้วยตำแหน่งทางสังคม
ตำแหน่งเหล่านั้นจะถูกทำให้มีเพศสภาพและเกี่ยวข้องกับคำว่า “ไม่”
ในแบบที่ต่างกัน
ตามที่ผมเคยกล่าวมาแล้วว่า ตำแหน่งแห่งตัวตนของ “ผู้หญิง”
ถูกสร้างขึ้นจากการพูดว่า “ไม่”
ตามบรรทัดฐานทางสังคมเมื่อเธอต้องเจอกับการลวนลามทางเพศ สิ่งนี้แตกต่างจากตัวตนของ “ผู้ชาย”
ซึ่งไม่รับรู้ความหมายของคำว่า “ไม่” ในสถานการณ์ของการมีเซ็กซ์
และตัวตนของผู้ชายจะถูกสร้างขึ้นโดยการพูดว่า “ไม่” ของผู้ชายอีกคนหนึ่ง
ส่วนการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนจะทำให้ตัวตนทางเพศมีความชัดเจนขึ้น
เพื่อที่จะนำกามารมณ์มาจัดระเบียบ และสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งแห่งตัวตนเหล่านี้
เซ็กซ์แบบป่าเถื่อนทำให้เกิดพื้นที่สำหรับร่างกายแบบผู้ชายเพื่อที่จะทำให้การพูดว่า
“ไม่” เกิดขึ้นได้ ซึ่งถ้าเป็นกรณีอื่นคำนี้อาจเกิดขึ้นไม่ได้ ในเวลาเดียวกัน
เซ็กซ์แบบป่าเถื่อนก็สร้างพื้นที่ให้ร่างกายของผู้หญิงซึ่งจะถูกทำให้เป็นวัตถุโดยการพูดว่า
“ไม่” จากปากของคนอื่น (ความลับจะไม่เกิดขึ้น
ถ้าผู้ที่เป็นฝ่ายรับคือเพศชาย
และผู้ชายคนเดียวกันนี้ก็คือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจในสังคม
ความลับที่อยู่เหนือชายกลุ่มนี้จะเป็นผู้หญิงที่เขายอมจ่ายเงินเพื่อที่จะกดขี่ได้หรือไม่ และ
คำที่จะระบุตัวตนของคนประเภทนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร)
ความคิดเชิงกามารมณ์ที่สร้างมาจากการมีเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนอาจถูกมองว่ารุนแรง
ซึ่งเคยมีอยู่ในสถานการณ์ทางเพศที่มีการพูดว่า “ไม่”
และเซ็กซ์แบบป่าเถื่อนทำให้เกิดการใช้ความรุนแรง แต่เป็นความรุนแรงแบบ “เล่นละคร”
ซึ่งถูกกำกับและควบคุมโดยความขัดแย้งและอารมณ์ของผู้แสดง
ประเด็นหลักของบทความนี้มาจากสิ่งที่ผมคิดว่า “การแสดง” กับ
“การปฏิบัติการแสดง” มีความต่างกัน
และแนวคิดทั้งสองนี้ก็เกี่ยวโยงกับเรื่องภาษา และในจุดร่วมกันบางประการ
ผมก็ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดของการแสดงต่างไปจากแนวคิดเรื่องการปฏิบัติการแสดง
แต่ยังมีความแตกต่างเฉพาะเรื่องที่เป็นสิ่งสำคัญในทัศนะของผม ซึ่งผมต้องการให้ความแตกต่างนี้จบลง ความแตกต่างนี้มาพร้อมกับความคิดเรื่อง identity หรืออัตลักษณ์
ผมยกประเด็นเรื่องอัตลักษณ์มากล่าวในตอนท้ายนี้
เพราะอัตลักษณ์ถูกใช้อธิบายทางวิชาการเพื่อศึกษาเรื่องภาษาและเพศวิถี เพศวิถี หรือ sexuality
กลายเป็นแนวคิดในการศึกษาทางภาษาศาสตร์เชิงมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาซึ่งมองว่าเพศวิถีคือบ่อเกิดของอัตลักษณ์
นักวิจัยที่ใช้ข้อมูลทางภาษาศาสตร์เพื่อที่จะอธิบายว่าบุคคลแสดงอัตลักษณ์ทางเพศแตกต่างกันอย่างไร
โดยเฉพาะอัตลักษณ์ของเกย์และเลสเบี้ยน
แต่บางทีความแตกต่างระหว่างการศึกษาภาษาในมิติของการแสดง
และมิติของการปฏิบัติการแสดงอาจอยู่ที่
มิติของการแสดงมองว่าภาษาจะเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ของบุคคล
ส่วนมิติการปฏิบัติการแสดงมองว่าบุคคลมีกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาอย่างไร ความแตกต่างคือทั้งสองแนวคิดนี้มองอัตลักษณ์ไม่เหมือนกัน
กล่าวคือการศึกษาทางมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์อธิบายว่าอัตลักษณ์ของบุคคลขึ้นอยู่กับสภานการณ์ทางสังคม
ส่วนกระบวนการสร้างอัตลักษณ์เป็นแนวคิดเชิงจิตวิทยา
ที่มุ่งอธิบายเกี่ยวกับการปฏิบัติการของตัวตน
กระบวนการสร้างอัตลักษณ์คือการเปลี่ยนผ่านซึ่งบุคคลค่อยๆซึมซับคุณลักษณ์หรือท่าทางของคนอื่นมาไว้ในตัวเอง
จากนั้นเขาก็จะค่อยๆเปลี่ยนสภาพไป
ความแตกต่างระหว่าง “อัตลักษณ์” และ “กระบวนการสร้างอัตลักษณ์”
อยู่ที่กรณีหลังไม่เกี่ยวข้องกับจิตสำนึก
ในทางตรงกันข้าม
กระบวนการสร้างอัตลักษณ์จะถูกควบคุมและจัดระเบียบโดยการปฏิเสธ และการไม่ยอมรับ นอกจากนั้น กระบวนการสร้างอัตลักษณ์มิได้เป็นตัวแทนของระบบเหตุผล
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
กระบวนการที่ทำให้บุคคลกลายเป็นตัวตนตามแบบที่กำหนดขึ้นมิใช่กระบวนการที่คงที่
แต่เป็นกระบวนการที่มีความขัดแย้ง
อยู่เหนือการควบคุมของจิตใจและบ่อนทำลายตัวตนที่สมบูรณ์
อัตลักษณ์และกระบวนการสร้างอัตลักษณ์จึงไม่เหมือนกัน นี่คือสิ่งสำคัญที่จะไม่นำสองสิ่งนี้มาปะปนกัน
แนวคิดแบบปฏิบัติการแสดงที่ใช้ศึกษาเรื่องราวทางภาษามิได้ทำให้เห็นจุดเริ่มต้น
หรือจุดจบของอัตลักษณ์ แต่จะทำให้เกิดการตรวจสอบกระบวนการของการสร้างอัตลักษณ์ซึ่งอาจถูกควบคุม
ปิดกั้น ปลดปล่อย จัดระเบียบ ส่งเสริมเชิดชู หรือปราบปราม
ผมพยายามอธิบายด้วยแนวคิดของกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ โดยการยกเรื่องคำว่า
“ไม่” ขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา และตรวจสอบว่าการพูดว่า “ไม่” หรือไม่พูดว่า “ไม่”
ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง มากกว่าจะถามว่า ใครคือคนพูด การตรวจสอบดังกล่าวทำให้ผมพบกับบางสิ่งที่เป็นผลพวงของการพูด
ผมไม่พบอัตลักษณ์ที่มาจากคำพูด แต่กลับนึกถึง “กระบวนการสร้างอัตลักษณ์”
ที่เกิดจากการพูดของมนุษย์
แปลและเรียบเรียงโดย ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ จาก Don Kulick
“ No” in Jennifer Robertson (ed.) Same-sex Cultures and Sexualities. Blackwell,
Oxford. 2005. Pp.60-69.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น