ออนไลน์-ออฟไลน์ เพศสภาพ เพศวิถี
และการเมืองเทคโนโลยีของชีวิตประจำวัน
ทฤษฎีเควียร์มักจะถูกคิดจากชีวิตของเกย์และเลสเบี้ยนเสมอๆ
การวิจัยเกี่ยวกับผู้ใช้สื่อ
คือเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต
ซึ่งแต่ละประเภทจะถูกตรวจสอบว่าอะไรคือกระบวนทัศน์ที่แยกจากกัน
แต่ไม่ค่อยมีการถามถึงว่าสื่อต่างๆเหล่านี้ถูกสอดแทรกเข้าหากันอย่างไร
และไม่ค่อยมีการมองด้วยความคิดหลายๆแบบเพื่อที่จะศึกษาสื่อมวลชนในหลายแขนง (Mackay
and Ivey 2004)
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
สื่อประเภทออนไลน์และอินเตอร์เน็ตกลายเป็นตัวแทนที่ได้รับความสนใจจากนักคิดแนวเฟมินิสต์และเควียร์ทั้งหลาย
จุดประกายด้วยความหวังและความกลัวต่อความเป็นไปได้ของการเมืองเพศวิถี
เพศสภาพแนวเสมือนจริง
สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นการศึกษาที่อธิบายจากแนวคิดเดิมๆซึ่งมุ่งสนใจไปที่เรื่องเทคโนโลยีสื่อออนไลน์และรูปแบบของการวิเคราะห์ตัวบท
/เนื้อความ อย่างไรก็ตาม
การสนทนาระหว่างทฤษฎีเควียร์และสังคมวิทยาเกิดขึ้นในการศึกษานี้
และสนใจเรื่องมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของพื้นที่ไซเบอร์เควียร์
สิ่งนี้เป็นโอกาสที่จะปล่อยให้การศึกษาไซเบอร์เควียร์หันเหไปจากซอกหลืบของตัวบทและภาพเสมือนจริงดูจะเป็นสิ่งที่กำลังเดิมพัน
ในการค้นหาหนทางเอาชนะภาพนามธรรมและการแยกกันอยู่
เพื่อที่จะก้าวไปสู่การสนทนาต่อไปนั้น
บทความนี้จะสำรวจและตรวจสอบความเชื่อมโยงบางประการ ระหว่างเพศสภาพและเพศวิถี
ระหว่างมุมมองเควียร์และเฟมินิสต์ที่อธิบายเรื่องเพศสภาพ /เพศวิถี
ระหว่างอัตลักษณ์และการปฏิบัติทางเทคโนโลยี ระหว่างสื่อแบบเก่าและแบบใหม่
และประสบการณ์ชีวิตประจำวันของการออนไลน์และออฟไลน์
ความตั้งใจอย่างหนึ่งในการสร้างความเชื่อมโยงก็คือการนำงานวิจัยและความรู้ที่แยกกันอยู่มารวมกันซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีสื่อสาร พฤติกรรมการบริโภค และการสร้างอัตลักษณ์
การเน้นให้เห็นความเชื่อมโยงทางทฤษฎีที่เกิดขึ้นในสื่อสมัยใหม่
การบริโภคสื่อ เพศสภาพ และทฤษฎีเควียร์
เช่นเดียวกับการชี้ให้เห็นความเกี่ยวข้องที่เป็นไปได้ในอนาคต สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้เกิดการวิจัยเชิงประจักษ์เกี่ยวกับสื่อสมัยใหม่ต่อไป
ในการข้อถกเถียงเกี่ยวกับเพศสภาพ
เพศวิถี และเทคโนโลยีจะมีเรื่องอยู่ 3 อย่าง หนึ่ง
การถกเถียงว่าการศึกษาการใช้สื่อสมัยใหม่ที่มีเพศสภาพจะนำทฤษฎีเควียร์มาอธิบายได้และยืนกรานว่าเพศวิถีเป็นหน่วยในการวิเคราะห์ที่เหมาะสมมากกว่าจะมองว่าเป็นแค่เรื่องเพศสภาพ แคร์ เฮมมิงเคยชี้ว่า
เป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจและมีปัญหาต่อการทำให้เรื่องเพศวิถีมีความสำคัญเหนือเพศสภาพ จากจุดนี้อาจถกเถียงได้ว่าการสร้างและการเชื่อมโยงของเพศสภาพและอัตลักษณ์ทางเพศจำเป็นต้องกล่าวถึงในงานวิจัยเกี่ยวกับการบริโภคสื่อสมัยใหม่
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการผลิตสมมุติฐานเกี่ยวกับการดำเนินไปข้างหน้าระหว่างเพศสรีระและพฤติกรรมทางเพศสภาพเมื่อเกิดการถกเถียงการใช้สื่อที่มีเพศสภาพเกี่ยวข้อง
สอง
มีการอธิบายว่าเพื่อที่จะประเมินคำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศและเพศสภาพที่เกิดจากการใช้สื่อออนไลน์
เป็นสิ่งสำคัญที่จะตระหนักว่าสื่อออนไลน์นั้นถูกบริโภคแบบแยกต่างหาก
สื่อประเภทนี้เป็นตัวแทนการปฏิบัติทางเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันและเทคโนโลยีสื่อสาร
การอ้างงานวิจัยของผู้เขียนเกี่ยวกับครัวเรือนที่มีผู้หญิงเป็นศูนย์กลาง
จะทำให้เห็นว่าการับรู้และการใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่คือสิ่งที่เชื่อมโยงกับการเมืองเรื่องพื้นที่และเวลาของชีวิตประจำวันและความเป็นส่วนตัวและสาธารณะ
ซึ่งถูกทำให้มีเพศสภาพและเป็นเรื่องเพศในทางใดทางหนึ่ง
สาม
ถ้าเรานำข้อสังเกตของอีเลียที่ว่า “อะไรก็ตามที่เสมือนจริงล้วนเป็นเควียร์”
มาพิจารณาในที่นี้ จะพบคำถามเกี่ยวกับ
เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่จะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศได้อย่างไร จากจุดนี้
คำอธิบายและความคิดของทฤษฎีเควียร์อาจถูกตรวจสอบอย่างเป็นรูปธรรม
สร้างแผนเพื่ออนาคตเกี่ยวกับเควียร์
เฮลเพอริน
(2003) กล่าวว่า ถ้าทฤษฎีเควียร์เป็นเรื่องของอนาคต
เราจะค้นพบหนทางของการแก้ไขศักยภาพของเควียร์
สิ่งนี้หมายถึงการไม่ได้แบ่งแยกว่ามีการสร้างทฤษฎีเก่าหรือใหม่
แต่เป็นการทำให้เควียร์มีพลังใหม่ที่จะสร้างความแปลกใจ ช่วยให้เราคิดว่าอะไรที่ยังไม่มีการคิดมาก่อน
ข้อสังเกตของเฮลเพอรินเหมือนกับข้อคิดทางวิชาการที่มีต่อประวัติศาสตร์และอนาคตของทฤษฎีและปฏิบัติการแบบเควียร์ เฮลเพอรินคิดเกี่ยวกับ
คำว่าเควียร์ไม่ได้เป็นเพียงการตั้งคำถามเกี่ยวกับเกย์และเลสเบี้ยนศึกษา
หรือแรงบันดาลใจของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในแบบใหม่เท่านั้น
แต่เควียร์ยังค่อยๆถูกซึมซับเข้ามาอยู่ในการสร้างความรู้ของเราและทำให้ตัวมันเองถูกนักวิชาการทำให้เป็นหลักการ
ข้อคิดเกี่ยวกับการมาอยู่รวมกันในทฤษฎีเควียร์นี้หมายถึงการสูญเสียศักยภาพแบบวิพากษ์วิจารณ์ของทฤษฎีเควียร์ต่อการทำให้ทฤษฎีเพศสภาพและเพศวิถีสั่นคลอน
และยังหมายถึงการชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มที่จะทำให้บุคลและกลุ่มบุคคลกลายเป็นชายขอบอีกครั้งโดยการจัดเป็นพวกๆ
เช่น เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ หรือการปฏิบัติและความสนใจทางเพศแบบอื่นๆให้อยู่ภายใต้
“ร่ม”ของเควียร์ศึกษา
เฮลเพอรินเป็นคนเดียวที่ตั้งคำถามถึงอนาคตของทฤษฎีเควียร์และการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบเควียร์ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษใหม่ ประมาณ 15 ปีหรือมากกว่านั้นที่มีการสร้างทฤษฎีและการเมืองเควียร์ขึ้นมา
ปัจจุบันนี้มีการเน้นถึงการขยายและการทำให้เควียร์ดีขึ้นเพื่อที่จะนำไปศึกษาเรื่องการสื่อสารทางการเมือง
และเพื่อที่จะทำให้เควียร์รวมอยู่ในการศึกษาโลกทางวัตถุ
และการเมืองที่ส่งผลต่อความเสี่ยงและสาเหตุของสิ่งต่างๆ
การพัฒนาในสิ่งที่เคยถูกวิจารณ์ว่าทฤษฎีเควียร์ให้ความสนใจต่อการตีความตัวบทและสิ่งที่แอบแฝงมากเกินความจริง และการสร้างทฤษฎีเรื่อง “ไฮเปร์” จากนักคิดหลังโครงสร้างนิยมอาจจะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนไปสู่การใช้วิธีการศึกษาเชิงประจักษ์และมองไปที่การปฏิบัติและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในชีวิตประจำวันมากขึ้นในงานวิจัยในอนาคต
สิ่งที่เฮลเพอรินเป็นห่วง
ก็คือ ทฤษฎีเควียร์จะถูกกลืนเข้าไปอยู่ในสาขาวิชาที่สำเร็จรูปได้ง่ายๆและจะถูกนำไปใช้สร้างหัวข้อและการทำวิจัยซึ่งเป็นการสูญเสียพลังของการวิพากษ์ อย่างไรก็ตาม
บทความนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่ายังคงมีเรื่องราวอีกมากมายที่จะนำทฤษฎีเควียร์ไปอธิบาย
เช่น การศึกษาเพศสภาพ เพศวิถีและการใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่
โดยเฉพาะการศึกษาในเชิงสังคม
การศึกษาเกี่ยวกับการใช้สื่อสมัยใหม่ที่มีเรื่องเพศสภาพ
ส่วนมากมักจะใช้ทฤษฎีเฟมินิสต์ในสกุลหลังโครงสร้างซึ่งสามารถจัดเพศวิถีให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มเพศสภาพและนำเพศวิถีเข้าไปอยู่ในการสร้างอัตลักษณ์เพศสภาพซึ่งมองไม่เห็นเมื่อจะนำมาวิเคราะห์ ในเวลาเดียวกัน ความสนใจในการสำรวจเชิงประจักษ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ออนไลน์-ออฟไลน์ของผู้ใช้สื่อ
ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังเติบโต
แต่ยังมีเรื่องที่ขาดหายไปในการศึกษาสื่อสมัยใหม่
ที่สัมพันธ์กับอัตลักษณ์แบบแปลกแยก
นีน่า เวคฟอร์ดเคยชี้ว่า ยังเป็นเรื่องยากที่จะค้นหางานวิจัยที่มีการถกเถียงในเชิงวิธีวิทยาและญาณวิทยาเกี่ยวกับความซับซ้อน
ความไม่สอดคล้อง
และความไม่ยุติธรรมของความรู้ที่อยู่นอกพื้นที่ทางวัฒนธรรมและกลุ่มคนทางสังคมกระแสหลัก การถกเถียงเกี่ยวกับเพศสภาพและเทคโนโลยี ยังเป็นเรื่องชายขอบของการศึกษากระแสหลักที่สนใจกระบวนการของการบริโภคเทคโนโลยีสื่อสาร
หรือสนใจการประเมินว่าผู้ชาย ผู้หญิง เด็กชาย
เด็กหญิงทำอะไรกับเทคโนโลยีสื่อสาร
คำถามที่ยังคงค้างคาอยู่ในเรื่องนี้คือ
อัตลักษณ์เพศสภาพแบบไหนที่ถูกสร้างขึ้นในกระบวนการ
และอัตลักษณ์ทางเพศจะเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์เพศสภาพอย่างไรภายใต้การใช้เทคโนโลยี
บทความนี้จะอธิบายว่าทฤษฎีเควียร์มีการเคลื่อนตัวไปสู่การวิจัยสื่อสมัยใหม่ในกระแสหลัก
ถึงแม้ว่าเควียร์จะยังไม่ได้เข้าไปในเร็วๆนี้ก็ตาม
หัวข้อต่อไปจะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับความสำคัญของเพศวิถีที่สัมพันธ์กับเพศสภาพ
ปัญหาและความเป็นไปได้ที่เกิดจากการมองแบบเควียร์ต่อเรื่องตัวบท
เช่นเดียวกับการเคลื่อนไปสู่การใช้สังคมวิทยาแบบเควียร์
การใช้เทคโนโลยีสื่อสารที่มีเพศสภาพ
และคำถามเกี่ยวกับเพศวิถี
ตั้งแต่ต้นทศวรรษ
1970 สองทศวรรษก่อนจะมีทฤษฎีเควียร์เกิดขึ้นมาเพื่ออธิบายการทำงานทางวิชาการซึ่งอุทิศให้กับการศึกษาเพศวิถี
นักคิดแนวเฟมินิสต์หลายคนนำตัวเองไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างเพศสภาพกับการใช้สื่อ
ข้อวิจารณ์ที่สำคัญในช่วงนั้นคือเฟมินิสต์มองว่าสื่อเป็นสาเหตุหลักของการผลิตความสัมพันธ์ทางเพศที่ให้อำนาจผู้ชาย ในช่วงหลายปีของการศึกษาวิเคราะห์ตัวบทและการรับรู้
ทำให้เข้าใจว่าตัวตนของความเป็นหญิงที่ถูกสร้างผ่านตัวบท
ไม่ได้ถูกรับรู้โดยผู้หญิงที่เป็นผู้อ่านและผู้ชม
เฟมินิสต์หลายคนไม่ได้แต่เพียงสำรวจบุคลิกของเพศสภาพที่แสดงผ่านพฤติกรรมเรื่องเล่าและผู้ชมเท่านั้น
แต่ยังตั้งคำถาม และอธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีในมิติสังคม
ความคิดที่เกิดจากการศึกษาเพศสภาพในฐานะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้โลกมีโครงสร้างและสัญลักษณ์
และกำหนดโครงสร้างความคิดที่เรามีต่อเทคโนโลยี
ทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพสสภาพและเทคโนโลยี ซินเธีย ค็อกเบิร์น ยืนยันว่าความสัมพันธ์ทางสังคมของเทคโนโลยีคือความสัมพันธ์เชิงเพศสภาพ
ซึ่งเทคโนโลยีจะเข้าไปอยู่ในอัตลักษณ์เพศสภาพ
จะไม่สามารถเข้าใจเทคโนโลยีได้ถ้าปราศจากการอ้างเพศสภาพ
สิ่งนี้ยังคงเป็นส่วนเล็กๆและอาจยังไม่มีการศึกษามากนัก
งานวิจัยที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพศสภาพและเทคโนโลยียังไม่ค่อยสนใจความเชื่อมโยงระหว่างเพศสภาพและเพศวิถีเท่าใดนัก
แม้ว่าแนวคิดเฟมินิสต์ไซเบอร์จะยังคงสนใจที่จะวิเคราะห์เพศสภาพ
ในขณะที่ไซเบอร์เควียร์จะสนใจเรื่องความแปลกแยกของอัตลักษณ์ กลุ่มทางสังคม
และพื้นที่ทางวัฒนธรรม นอกจากนั้น ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอาจจะเกิดขึ้นกับการวิจัยกระแสหลักเกี่ยวกับเทคโนโลยีและชีวิตประจำวัน
ถึงแม้ว่าการวิจัยเหล่านี้จะสนใจว่าผู้คนมีปฏิสัมพันธ์และใช้เทคโนโลยีอย่างไรซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างความเป็นหญิงและความเป็นชายที่ยึดติดกับร่างสรีระของเพศชายและเพศหญิง ในแง่นี้ เพศวิถีจะถูกเชื่อว่าเป็นรักต่างเพศ
ซึ่งยังคงไม่ถูกตั้งคำถามและไม่ถูกตรวจสอบ
กัสต์ เย็ป เขียนบทความเรื่อง The Violence of Heteronormativity in
Communication Studies อธิบายว่าถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในช่วงเวลาของการยืนยันและการประกาศก้องของความแตกต่างหลากหลาย
แต่รักต่างเพศก็ยังคงถูกใช้ในฐานะเป็นแนวคิดเพียงหนึ่งเดียว
ความซับซ้อนของสิ่งเหล่านี้ถูกมองข้ามไป
หากมองที่ประวัติศาสตร์ของการศึกษาเพศสภาพและเทคโนโลยี
พร้อมกับการเกิดขึ้นของเควียร์ศึกษา วัฒนธรรมศึกษา และไซเบอร์ศึกษา เราจะพบคำอธิบายเกี่ยวกับข้อถกเถียงเรื่องสถานะและการเติบโตของเพศสภาพหรือเพศวิถีในฐานะที่เป็นประเภทของการวิเคราะห์อีกแนวหนึ่ง
และความตึงเครียดระหว่างเพศสภาพและเพศวิถี
เอลิซาเบ็ธ วีด ชี้ในบทนำที่เธอเขียนในหนังสือ Feminism Meets Queer
Theory ว่าถึงแม้ทฤษฎีเควียร์และเกย์เลสเบี้ยนศึกษาจะตระหนักว่าได้รับความคิดจากทฤษฎีเฟมินิสต์และสตรีศึกษา
แม้จะเป็นความจริงที่ว่าเฟมินิสต์และเควียร์จะเป็นแนวคิดสองแบบที่แยกกันภายใต้กลุ่มตระกูลความรู้และการเมืองเดียวกัน
แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบาก วี้ดอธิบายว่าปัญหามิใช่การที่ทฤษฎีเควียร์มีไว้เพื่ออะไร
แต่ปัญหาอยู่ที่ทฤษฎีเควียร์นำเสนอความคิดเฟมินิสต์แบบปกปิด
วี้ดกล่าวว่าไม่ว่าทฤษฎีเควียร์จะรีรอที่จะนำตัวเองไปอยู่ในการแนวร่วมของสร้างแนวคิดทฤษฎี มันก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องแน่นอนอยู่อย่างหนึ่งคือการพิจารณาว่าเซ็กส์และเพศวิถีไม่สามารถบรรจุอยู่ในการจัดประเภทของเพศสภาพได้
แต่การที่จะนำเรื่องเพศวิถีเข้าไปอยู่ในการศึกษาของเกย์เลสเบี้ยนเหมือนกับทฤษฎีเควียร์อาจจะต้องแลกกับการเสียการศึกษาเพศสภาพและการมองแบบสังคมวิทยาและภาวะวิสัยหรือไม่
นักเฟมินิสต์หลายคนเช่นเกียวกับนักเฟมนิสต์เควียร์ที่ได้ปูทางมาตั้งแต่กลางทศวรรษ
1990 เพื่อที่จะพูดถึงว่าอะไรที่จะทำให้การทำลายการจัดแบ่งประเภทมีประสิทธิภาพ
จึงใช้เรื่องเพศสภาพในสายตาของเฟมินิสต์และแนวคิดสตรีนิยมและเพศวิถีเพื่อใช้ในการศึกษาของเกย์เลสเบี้ยนและเควียร์ จูดิธ บัตเลอร์ อธิบายในหนังสือ Gender
Trouble(1990) ในฐานะเป็นการแสดงความลำบากใจกับเรื่องที่ว่ากรอบความคิดของเฟมินิสต์มากมายดูเหมือนเป็นการละทิ้งหรือทำให้การท้าทายเพศสภาพที่เกิดจากเควียร์เป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้
หลังจากนั้น บัตเลอร์ก็วิจารณ์ว่าประวัติศาสตร์เฟมินิสต์ในช่วงที่ผ่านมา ไม่เข้าใจแนวคิดสตรีนิยมและมองเป็นแค่เพียงเรื่องเพศสภาพ
ท่ามกลางเรื่องอีกมากมายที่เป็นการทำลายความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเฟมินิสต์ผู้ที่นิยมใช้แนวคิดเพศสภาพกับเฟมินิสต์ที่มองเรื่องความแตกต่างทางเพศ
บัตเลอร์อธิบายว่าการวิเคราะห์เพศสภาพเป็นการอธิบายแบบสังคมวิทยา
ที่ไม่สนใจสัญลักษณ์หรือเรื่องทางจิตวิเคราะห์
ซึ่งความเป็นชายและหญิงถูกสร้างจากภาษา ก่อนที่จะมีการสร้างเป็นตัวตนทางสังคม
ข้อมูลสำหรับความแตกต่างทางเพศจะเกี่ยวข้องกับสถานะของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมระหว่างเพศกับสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์และพรมแดนสังคมที่แยกตัวอยู่ต่างหาก
ในขณะที่สัญลักษณ์ถูกเข้าใจว่าเป็นมาตรชี้วัดสังคม
ความตึงเครียดระหว่างสัญลักษณ์กับสังคมถูกอธิบายในงานวิจัยของเฟมินิสต์และเควียร์
ตัวอย่างเช่น สเตวี แจ็คสัน ศึกษาพฤติกรรมและอารมณ์ของรักต่างเพศด้วยแนวคิด materialist
feminist และสังคมวิทยาซึ่งมองว่าเควียร์เป็นความคิดที่น่าสงสัย
สเตวีเชื่อว่าทฤษฎีเควียร์เป็นการเดินรอยตามสังคมวิทยา
และการมุ่งไปที่เรื่องวัฒนธรรมและการหาข้อสรุปจำกัดขอบเขตอยู่ในความไม่สนใจโครงสร้างสังคมและการปฏิบัติทางสังคมเชิงภาวะวิสัย สเตวีสรุปว่าสังคมของทฤษฎีเควียร์และเฟมินิสต์
เป็นเรื่องที่มีคำถามเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติและความหลีกเลี่ยงไม่ได้ของรักต่างเพศ
ซึ่งมีสถานะที่ได้รับการยอมรับ
นอกจากนั้น นักคิดแนวเควียร์และสตรีนิยมได้นำคู่ตรงข้ามระหว่างรักต่างเพศ/รักเพศเดียวกันมารวมกับเรื่องเพศสภาพ
ไม่ว่าจะมีความแตกต่างทางทฤษฎีปรากฎอยู่ใน หรือระหว่างแนวคิดทั้งสองนี้ก็ตาม
แต่สมมุติฐานที่มีร่วมกันก็คือ
พรมแดนเพศสภาพและพรมแดนระหว่างรักเพศเดียวกันกับรักต่างเพศจะไม่ถูกกำหนดจากธรรมชาติ
ทั้งเควียร์และเฟมินิสต์ต่างเชื่อมโยงเข้ากับระเบียบทางสังคมและวัฒนธรรมซึ่งยกย่องรักต่างเพศที่ให้อำนาจผู้ชายเป็นใหญ่โดยไม่มีการตั้งคำถาม
การแสวงหาความเชื่อมโยงและกลุ่มก้อนระหว่างเฟมินิสต์กับเควียร์เฟมินิสต์ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่สิ้นสุด แอนนามารี จากอส และดอน คูลิค
อธิบายว่าถ้าการศึกษาของเกย์เลสเบี้ยนยืนยันในความแตกต่างระหว่างเพศสภาพและเพศวิถี ซึ่งความไม่ลงรอยจะถูกตรวจสอบโดยคนหลายคนที่คัดค้านความพยายามที่จะแยกงานวิจัยทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับเพศสภาพและเพศวิถีออกจากกันอย่างเป็นปกติ
ถึงแม้ว่าเราอาจเคยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพศสภาพและเพศวิถีเพื่อที่จะทำให้เกิดการมองแบบใหม่
ซึ่งจากอสและคูลิคมองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องตั้งใจอย่างหนึ่งของการศึกษาแนวเฟมินิสต์และเกย์เลสเบี้ยน การศึกษาของอาร์ลีน
สไตน์ซึ่งวิจารณ์การแบ่งแยกระหว่างเพศสภาพและเพศวิถีในอดีต สไตน์มองว่าเพศวิถีที่มีเพศสภาพ
และเพศสภาพที่เป็นเพศวิถีเป็นสิ่งที่รับรู้เมื่อเรากำลังนำมันมารวมกันและเมื่อเรากำลังทำให้มันแยกจากกัน สไตน์แนะนำว่าการมองเพศสภาพและเพศวิถีในแนวนี้เป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาเชิงสังคมและเชิงประจักษ์
เช่นเดียวกับการมองเชิงเนื้อความและเชิงเปรียบเปรยเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างเพศสภาพและเพศวิถี
เช่นเดียวกับการไม่ใช้แนวคิดใดๆเพื่ออธิบายเพศสภาพและเพศวิถีที่จะโจมตีแนวคิดอื่นๆ
นีน่า
เวคฟอร์ด (2000) เคยกล่าวว่ามีความเงียบคงอยู่กับเรื่องเพศวิถีในการศึกษาเทคโนโลยีในมิติทางวัฒนธรรม
ถ้าคำและการกระทำของไซเบอร์เควียร์จะนำมาขยายความตัวมันเอง
อาจกล่าวได้ว่าเป็นการกระทำที่ต่อต้านในโฉมหน้าของการถูกกดขี่ เราควรถามว่าอะไรและอย่างไรที่จะมองด้วยสายของของไซเบอร์เควียร์ซึ่งสนใจเรื่องการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์จะสามารถย้ายไปสู่การศึกษากระแสหลักที่อธิบายเรื่องการบริโภคและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เป็นเพศสภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เทคโนโลยีสื่อสารและอัตลักษณ์เพศสภาพไม่ควรจะเป็นแค่เรื่องไซเบอร์สเปซ
แต่ควรจะเป็นการตรวจสอบเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์
และการใช้สื่อแบบเก่าและใหม่ที่เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน
ผลจากการศึกษาแบบองค์รวมนี้จะนำไปสู่การปิดกั้นความคิดเชิงอุดมคติเกี่ยวกับไซเบอร์สเปซและเพศสภาพและเพศวิถีที่เกิดจากอิเล็คทรอนิกแบบใหม่ ในเวลาเดียวกัน
จะช่วยให้เราทบทวนและเชื่อมโยงความเป็นไปได้ต่างๆที่ถูกคาดการณ์โดยนัดคิดแนวเฟมินิสต์เควียร์ที่เป็นโพสต์มอเดิร์นและหลังโครงสร้างนิยม
เข้ากับความลื่นไหลและกระบวนการแสดงของเพศสภาพและเพศวิถี และประเมินบทบาทของเทคโนโลยีที่ปรากฎอยู่ในพรมแดนนี้ บทความนี้เห็นด้วยกับแคร์ เฮมมิงส์
ซึ่งศึกษาประสบการณ์ของไบเซ็กช่วลที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์
โดยยืนยันถึงความสำคัญของเฟมินิสต์หลังโครงสร้าง
และญาณวิทยาแบบเควียร์ในการให้กรอบความคิดที่จะทำความเข้าใจชีวิตประจำวัน สิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดแบบเควียร์และเฟมินิสต์หลังโครงสร้างเป็นการบ่งบอกเชิงวิธีวิทยาของการตั้งคำถามต่อตัวตนทางเพศและเพศสภาพ
คำถามที่เราต้องถามไม่ควรจะเป็นการถามว่า
“อะไรคือประสบการณ์ของผู้หญิงหรือเลสเบี้ยน” หรือ
“อะไรคือการมองแบบเควียร์และเฟมินิสต์ในเรื่องเพศ” คำถามแนวนี้วางอยู่บนความคิดที่ว่ามีประสบการณ์โดดๆ
หรือความคิดโดดๆที่จะถูกค้นหาและค้นพบ
คำถามควรจะเป็นการตรวจสอบความรู้ซึ่งเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวตนทางเพศและเพศสภาพ
และมองดูคุณค่าทางจริยธรรมและการเมืองของความรู้เหล่านั้น เพื่อที่จะพูดถึงความรู้ซึ่งเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวตนทางเพศและเพศสภาพ
บทความนี้จะชี้ให้เห็นว่าการศึกษาเชิงสังคมวิทยาโดยทั่วไปและการศึกษาเชิงชาติพันธ์เกี่ยวกับชีวิตประจำวันเป็นเรื่องที่ช่วยได้
กล่าวคือเราต้องประเมินความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีเควียร์กับสังคมวิทยาตั้งแต่ที่มันยังไม่ถูกกล่าวถึงหรือไม่ได้เป็นผลลัพธ์ของความสัมพันธ์นี้
ซึ่งจำเป็นต้องนำออกมาปฏิบัติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทฤษฎีเควียร์มีต้นกำเนิดมาจากการถูกโจมตีว่าเป็นเรื่องของการสนใจเรื่องตัวบทมากเกินไป เอ็บสตีนอธิบายว่าเรื่องของตัวตน
การศึกษาแบบเควียร์เน้นงานเขียน และงานทางวัฒนธรรม
โดยใช้เทคนิควิเคราะห์แบบนักคิดรื้อสร้างและจิตวิเคราะห์
การเคลื่อนไปพูดถึงเรื่องนี้และการไม่ใช้กรอบสังคมวิทยาแบบเดิมๆ นักคิดเควียร์ทั้งหลาย เช่น ซีดแมนและเอ็บสตีน
อธิบายให้เห็นว่าการศึกษาทางสังคมวิทยาในทศวรรษ 1960-1980 สะท้อนภาพงานศึกษารุ่นแรกๆที่อธิบายเรื่องเกี่ยวกับเกย์และเลสเบี้ยนอย่างไร
(เช่น
กรอบคิดแบบผลิตสร้างทางสังคมที่อาศัยทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์และทฤษฎีตีตรา) อย่างไรก็ตาม
ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 แนวคิดแบบผลิตสร้างทางสังคมถูกท้าทายด้วยทฤษฎีเควียร์ที่เปลี่ยนการถกเถียงจากการอธิบายโฮโมเซ็กช่วลสมัยใหม่ไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับงานศึกษาที่พยายามแบ่งแยกรักต่างเพศกับรักเพศเดียวกัน คี นามัสเต
ชี้ว่าทฤษฎีเควียร์แบบหลังโครงสร้างนิยมเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการมองแบบแคบๆที่มองแต่ตัวตนของรักเพศเดียวกัน
ซึ่งนำไปสู่การศึกษาความเป็นรักต่างเพศในเชิงสังคมวิทยา
นามัสเต(1996)
กล่าวว่าแทนที่จะมองเกย์ เลสเบี้ยน
และไบเซ็กช่วลเป็นตัวตนหรือชุมชนที่จะถูกค้นหา
สังคมวิทยาแนวหลังโครงสร้างจะช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับอาการที่ความเป็นรักต่างเพศถูกสร้างมาจากสังคม ในกรณีนี้ เช่นเดียวกับการใช้คำระหว่าง “ข้างนอก”
“ข้างใน” เคยมีประโยชน์ในการมองดูพัฒนาการของชุมชนรักเพศเดียวกัน
เช่นเดียวกับการสร้างอำนาจครอบงำของรักต่างเพศ
นามัสเตชี้ว่ามีความจำเป็นที่จะใช้แนวคิดแบบสังคมวิทยาหลังโครงสร้างในการศึกษาเพศวิถี
เพื่อที่จะมองเห็นว่ามีการแสดงตัวตนที่มิใช่รักต่างเพศอีกมากมาย สิ่งนี้จะช่วยให้เราตระหนักถึงอันตรายเกี่ยวกับการอธิบายความเป็นรักต่างเพศและรักเพศเดียวกันซึ่งต้องพิจารณาถึงการแสดงออกทางเพศและเพศสภาพที่มีอยู่อีกมากมาย
ผู้เขียนพบว่ามันช่วยสนับสนุน
บนพื้นฐานของการเข้าใจระหว่างเวทีพูดคุยและบรรยายภายใต้หัวข้อ Queer
Today....? ซึ่งทำให้เห็นความสำคัญที่ว่า
การเน้นย้ำของเควียร์ต่อเรื่องการทำลายล้าง
และตัวตนเควียร์ที่ถูกนิยามแบบแคบๆ (เกย์
และเลสเบี้ยน) เช่นเดียวกับวัตถุวิสัย
เช่นเพศวิถีและชุมชน แคร์
เฮมมิงและฟีลิซิตี
เกรซมองว่าสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อการทำให้ความสนใจต่อการหาตั้งคำถามกว้างขึ้นไป ต่อมาในการเสวนาครั้งที่สองเรื่อง Queer
Too....? เริ่มด้วยเรื่องการปฏิบัติและประสบการณ์ในชีวิตประจำวันซึ่งช่วยสร้างชีวิตแบบเควียร์ให้เรา
การนำความคิดเควียร์มามองชีวิตประจำวันช่วยให้เราเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างอัตลักษณ์ทางเพศสภาพและเพศวิถีได้ สิ่งนี้จะทำให้เราตั้งคำถามต่อความเกี่ยวข้องและอัตลักษณ์ซึ่งมองเห็นอาณาบริเวณของการปฏิบัติและขบวนการในชีวิตประจำวัน
รวมทั้งความสัมพันธ์ที่เรามีต่อการเทคโนโลยีสื่อสาร ในการมองแบบนี้
ผลลัพธ์จากการศึกษาเชิงชาติพันธุ์ในฐานะเป็นวิธีการตรวจสอบชีวิตประจำวันควรจะเป็นสิ่งที่ทุกคนได้ประโยชน์
ปฏิบัติการทางเทคโนโลยีของการออนไลน์และออฟไลน์ในชีวิตประจำวัน
ซิลเวอร์สโตน(1995)
กล่าวว่า
ภายในอาณาบริเวณชีวิตประจำวันซึ่งบุคคลและกลุ่มคนสามารถเป็นผู้กระทำด้วยตัวเอง
ซึ่งความเป็นตัวเองของพวกเขาและอุปสรรคที่มีต่อพวกเขา จะช่วยให้เกิดการสร้างและการจรรโลงโลกแห่งชีวิต
วัฒนธรรมและคุณค่าที่พวกเขามี
ในอาณาบริเวณชีวิตประจำวันซึ่งความเป็นปกติของโลกจะถูกแสดงออก
ซึ่งกิจกรรมต่างๆจะเกิดขึ้นอย่างมีบุคลิกที่สำคัญและมองเห็นได้
ในการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งเราสามารถสังเกตและพยายามเข้าใจเรื่องเด่นๆของข้อมูลและเทคโนโลยีในการกระทำของมนุษย์ที่จะเข้าใจโลก
ทั้งที่เป็นส่วนตัวและสาธารณะ
เมื่อ
15 ปีที่แล้วมา โรเจอร์ ซิลเวอร์สโตน,
อีริค เฮิร์ช และเดวิด มอร์ลีย์
ทำงานเชิงชาติพันธุ์เกี่ยวกับการปฏิบัติในการใช้เทคโลโนยีสื่อสารในครอบครัวเดียว การศึกษาของพวกเขาเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การศึกษาผู้ดูโทรทัศน์แตกกระจายด้วยการเผชิญหน้ากับความซับซ้อนทางสังคมและวัฒนธรรม
การตีความเนื้อเรื่องและการศึกษาการรับรู้ของผู้ชมเป็นเช่นเดียวกับการแยกพิจารณาแต่เรื่องสื่อและตัวบท
ซึ่งดูเหมือนไม่ค่อยน่าสนใจ
ในแง่หนึ่งการศึกษาแบบนี้ช่วยให้เกิดการสะท้อนวิธีวิทยาที่พัฒนามาจากการเข้าไปเก็บข้อมูลการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างเช่น คำถามที่สนใจความเป็นไปได้และข้อจำกัดของการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพ
การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม การทำให้เป็นรูปธรรม
และการสะท้อนกลับซึ่งสร้างขึ้นโดยผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยและนักวิจัยเอง ในอีกแง่หนึ่ง
ทำให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับครัวเรือนและพรมแดนในครัวเรือนในฐานะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจเชิงศีลธรรม
ซึ่งเต็มไปด้วยเทคโนโลยรสื่อสารสมัยใหม่และเก่า และการใช้สื่อในฐานะเป็นตัวบท
เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวโยงกับระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมภายในการทำงานทางเศรษฐกิจแบบเป็นทางการและมีเป้าหมายชัดเจนและสังคมของสาธารณะ
การศึกษาเช่นนี้ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการเชิงเพศสภาพของครัวเรือนและครอบครัว
เพื่อที่จะสร้างและค้ำจุนอำนาจและอัตลักษณ์ของครอบครัว (สำหรับสมาชิกในครัวเรือนที่จะทำแบบเดียวกัน)ในฐานะเป็นหน่วยทางวัฒนธรรม
สังคมและเศรษฐกิจ ไอลีน
กรีนเคยชี้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ที่จะพูดถึงความแตกต่างและในช่วงเวลาของเศรษฐกิจเชิงศีลธรรมที่มีความขัดแย้งกัน
มากกว่าที่จะมองแค่เศรษฐกิจของครัวเรือนอย่างเดียว การศึกษาเชิงชาติพันธุ์ของซิลว่า(2000) เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว
ชี้ให้เห็นถึงเศรษฐกิจเชิงศีลธรรมที่มีอิทธิพลต่อการซื้อเทคโนโลยีสื่อสาร
และการใช้เทคโนโลยีนั้น
บ้านในฐานะเป็นพื้นที่เฉพาะของชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่าจะมีความซับซ้อนในเชิงแนวคิด
แต่ก็พิสูจน์ว่าเป็นการเห็นถึงแนวที่หลากหลายของการตั้งคำถามต่อเรื่องการใช้สื่อ
การจัดสรรสื่อ และการรับสื่อ และสิ่งเหล่านี้ก็ยังต้องค้นหาต่อไป ในเรื่องดังกล่าว
เราต้องระมัดระวังที่จะไม่ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับครอบครัว
ครัวเรือนและบ้านกลายเป็นเรื่องของอุดมการณ์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
และเป็นสิ่งที่หยุดนิ่ง ในหลายปีที่ผานมา
ความตั้งใจมีให้กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ครัวเรือนและครอบครัว
และการใช้เทคโนโลยีสื่อสารในครัวเรือนซึ่งทำให้เกิดงานวิจัย
เป็นการย้ำถึงตำแหน่งที่เราต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมทางสื่อทุกๆด้านมากกว่าจะถามเกี่ยวกับการใช้สื่อแบบแยกส่วน
หรือมองไปที่การเมืองในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีและการปฏิบัติทางเทคโนโลยีเฉพาะ สิ่งที่เป็นหลักฐานจากการศึกษานี้คือ
สื่อทุกอย่างเป็นตัวแทนของโลกชีวิตของเรา
และสื่อบางอย่างอาจมีบทบาทในทางที่ต่างกัน ในเวลาที่ต่างกัน
สื่อชนิดใหม่ไม่ได้แทนที่สื่อชนิดเก่า
แต่จะมีที่ทางของมันเองในบ้านผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยของการบริโภคที่ซับซ้อนเช่นเดียวกับการมาบรรจบกันของเทคโนโลยีต่างๆ
งานวิจัยบางเรื่องที่พูดถึงกระบวนการเกี่ยวกับการทำให้เทคโนโลยีสื่อสารเป็นเรื่องครัวเรือน
และการเมืองเชิงเทคโนโลยีของชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไปโดยมองไปที่การจัดสรรสื่อชนิดใหม่ที่เน้นย้ำการตรวจสอบเพศสภาพในแง่ที่ว่าผู้หญิงและผู้ชายทำอะไรกับเทคโนโลยี
มุมมองนี้ช่วยให้เรามองเห็นว่าเทคโนโลยีในครัวเรือนสามารถท้าทายความสัมพันธ์ทางเพศสภาพที่มีอยู่ก่อนได้อย่างไรโดยมองไปที่การแบ่งแรงงานในครัวเรือนเช่นเดียวกับเทคโนโลยีในครัวเรือนที่เหมาะกับเพศสภาพบางแบบ
การเข้าถึงทรัพยากรของครัวเรือนโดยดูจากความเป็นเพศ
และความแตกต่างทางเพศสภาพที่จะมีเวลาว่างจากงานประจำวันในครัวเรือน อย่างไรก็ตาม
ผู้เขียนต้องการที่จะอธิบายว่ามุมมองนี้บอกให้เรารู้น้อยมากเกี่ยวกับความเป็นหญิงและความเป็นชายที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้หญิงและผู้ชายในบริบทของการใช้เทคโนโลยีสื่อสารในชีวิตประจำวัน
หรือละเลยที่จะทำความเข้าใจว่าอัตลักษณ์เพศสภาพนี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้ลอยๆหรือนำไปเทียบกับร่างกายตามธรรมชาติได้ง่ายๆ นอกจากนั้น อาจโต้แย้งได้ว่าการศึกษาเหล่านี้ยังคงมองไปที่ครอบครัวเดี่ยวที่อาจมีลักษณะหลากหลายของการมีพ่อหรือแม่คนเดียวในบ้าน ประเด็นก็คือ
ไม่ใช่การตั้งคำถามต่อความถูกต้องของครัวเรือนและรูปแบบของครอบครัว
แต่บทความนี้ต้องการชี้ให้เห็นภาพมืดบอดที่เกิดกับการตั้งคำถามเกี่ยวกับเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ
ซึ่งยังคงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกตรวจสอบและดูเหมือนจะยังเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับโดยทั่วไปหรือถูกเข้าใจแค่ความเป็นรักต่างเพศเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม
สิ่งนี้อาจทำให้เราไม่เข้าใจเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศและเพศสภาพที่มีพรมแดนเชื่อมต่อกัน
ซึ่งถูกต่อรองและถูกสร้างแบบอ้อมๆผ่านการใช้เทคโนโลยีสื่อสาร
การสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีและเพศสภาพควรจะพิจารณาในแนวทางที่ความสัมพันธ์นี้อาจเป็นเรื่องเซ็กส์
การตั้งคำถามไม่ใช่แค่เรื่องผลกระทบของเพศวิถีนอกกรอบที่โยงใยถึงเพศสภาพ
แต่ควรรื้อสร้างอัตลักษณ์เพศสภาพของรักต่างเพศด้วย เศรษฐกิจเชิงศีลธรรมในครัวเรือน
ความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ส่วนตัวและสาธารณะ
ประสบการณ์ของชีวิตการงานและเวลาว่างของเราได้สร้างข่ายใย
ซึ่งอัตลักษณ์เพศสภาพจะทำให้เกิดการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศ เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่
ในวิถีทางที่มันเกี่ยวข้องในฐานะตัวบทและเทคโนโลยี
ได้ทำให้เกิดวิธีการของการแสดงออก การเชื่อมโยง
และการให้รายละเอียดอัตลักษณ์เหล่านี้และจะถูกทำให้มีตัวตนอีกในระหว่างที่เกิดกระบวนการเหล่านี้
ในแง่นี้
เราอาจไม่เพียงแต่จะถามว่าอะไรที่กลายเป็นคอมพิวเตอร์และการปฏิบัติเชิงคอมพิวเตอร์ที่ออนไลน์และออฟไลน์
ด้วยการมองไปที่แม่ ภรรยา ลูกๆ และคนอื่นๆ แต่ยังถามว่าครัวเรือน
ครอบครัวและสมาชิกในครอบครัวได้นำสิ่งที่เทคโนโลยีได้มอบไว้ให้ไปใช้ในการสร้างสำนึกของการปฏิบัติต่างๆได้อย่างไร
และความเป็นไปได้และข้อจำกัดอะไรที่อาจเกิดขึ้นมา
เทคโนโลยีสื่อสารไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่มีเพศสภาพเท่านั้น
แต่มันสามารถเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจรักต่างเพศซึ่งในความเป็นวัตถุวิสัยและความเป็นตัวบทของมันจะกลายเป็นตัวบ่งชี้ของความแตกต่างทางเพศซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจการเมืองเชิงเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
การมองแบบชาติพันธุ์แนวเควียร์สามารถทำให้พรมแดนระหว่างสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มีความคลุมเคลือเพื่อที่จะศึกษาชีวิตประจำวัน
เพศสภาพ และเพศวิถี ตัวอย่างเช่น การใช้ทฤษฎีของบัตเลอร์เรื่องการแสดงของเพศสภาพ (1990)
และการตรวจสอบด้วยการตั้งคำถามเชิงประจักษ์ การทำให้สิ่งนี้เชื่อมโยงกันผ่านพรมแดนของสาขาวิชาต่างๆจะทำให้เราตั้งคำถามต่อสมมุติฐานที่ยืนยันในความต่อเนื่องระหว่างด้านที่เป็นเพศสรีระและการปฏิบัติเชิงเพศสภาพ
โดยไม่มองวิธีคิดแบบสัมพัทธ์นิยมหลังโครงสร้างที่อยู่อีกด้านหนึ่ง นอกจากนั้น การมองแบบชาติพันธุ์เควียร์ทำให้เราสามารถมองเห็นพื้นที่
ตำแหน่งแห่งที่ สภาพของชีวิต และรูปแบบของการอยู่ร่วมกันของคำถาม
ถึงแม้ว่าศักยภาพของคุณค่าที่จะเข้าใจการปฏิบัติเชิงเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันยังคงห่างไกลจากความสนใจทางสังคมวิทยากระแสหลักก็ตาม
การศึกษาแบบองค์รวมต่อการใช้เทคโนโลยีสื่อสาร
การศึกษาในหัวข้อไซเบอร์เควียร์
นีน่า เวคฟอร์ดให้ความสำคัญกับปัญหามากมายที่มีอยู่ในงานวิจัยในช่วงปัจจุบัน
ปัญหามีตั้งแต่ความลังเลที่จะข้ามพ้นไปจากกระบวนทัศน์กระแสหลักของทฤษฎีเควียร์
ซึ่งเพศวิถีกลายเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนเชื้อชาติและเพศสภาพยังคงเป็นสิ่งคงที่
ไปจนถึงการเฉลิมฉลองของอัตลักษณ์แบบโพสต์มอเดิร์นซึ่งมีความลื่นไหลและเป็นการแสดง
และขาดความสนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายเมื่อคอมพิวเตอร์ถูกเปิดและถูกปิดลง
บทความนี้ต้องการเสนอแนะว่าเรื่องท้าทายที่มาจากการตั้งคำถามแบบไซเบอร์เควียร์เกิดมาจากงานศึกษากระแสหลักเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตและพื้นที่เสมือนจริง
ความตึงเครียดและปัญหาบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่จะทำให้ประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์แยกจากกัน
หรือการให้ความสำคัญกับการออนไลน์มากกว่าการออฟไลน์ มาเรีย บัคคาร์จีวา(2005) อธิบายเกี่ยวกับชุมชนเสมือนจริงว่าการศึกษาที่นำเอาประสบการณ์ออนไลน์ไปรวมกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของผู้ใช้สื่อ
รวมทั้งงานทางมานุษยวิทยาที่ศึกษาเชิงประจักษ์ยังมีไม่มากนัก มาเรียอ้างถึงงานของเวลแมนและกูเลีย(1999)
โดยกล่าวว่าการอธิบายในเรื่องนี้ถูกมองผ่านการแบ่งแยกขั้วระหว่างชุมชนเสมือนจริงกับชุมชนในชีวิตจริงแบบผิดเพี้ยน การแยกขั้วแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น
นักวิชาการหลายคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการวิจัยอินเตอร์เน็ตในช่วงเวลาต่างๆซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ
1990 ตัวอย่างเช่น
แคที วอร์ด อธิบายให้เห็นว่าการถกเถียงในยุคแรกๆสนใจเรื่องความจริงที่ปรากฎอยู่ในการออนไลน์
ซึ่งมักจะมองแบบอุดมคติและมองโลกแง่ดี
และมักจะมีความคิดว่าโลกทางกายภาพและโลกเสมือนจริงอยู่กันคนละด้านในความสัมพันธ์แบบคู่ตรงข้าม เราสามารถพบความกระตือรือรนที่จะมีหวังแบบนี้เช่นเดียวกับการพัฒนาข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นในงานวิจัยกระแสหลัก
เช่นเดียวกับในงานของเฟมินิสต์และเควียร์
ลีช ลีฟโรว์ ชี้ว่า ในระดับวงเล็กๆ
กรอบคิดแบบการผลิตสร้างทางสังคมและการศึกษาเชิงชาติพันธุ์ในช่วงกลางทศวรรษ 1990
เป็นต้นมานั้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับการถกเถียงและความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับ
“เรื่องภายใน” ของการใช้และการสร้างความหมายของสื่อชนิดใหม่
ลีชเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีอิทธิพลมากต่อวัฒนธรรมศึกษาของอเมริกา
และสื่อมวลชนศึกษาของอังกฤษ ซึ่งท้าทายการศึกษาแบบนักชี้วัดโดยนักวิชาการ เช่น
จอห์น ไนส์บิต, อัลวิน ทอฟเลอร์ และโฮเวิร์ด ไรน์โกลด์ บทความนี้ต้องการเสนอแนะว่า
ข้ามพ้นไปจากความพยายามที่จะให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องระหว่างประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์ซึ่งเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากการพิจารณาแบบสะท้อนตัวตนและความเข้าใจภายในเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการศึกษาเชิงชาติพันธุ์ต่อประเด็นการใช้อินเตอร์เน็ตและชีวิตประจำวัน
เช่นเดียวกับการศึกษาของ จอร์แดน (1999) และมาร์คแฮม(1998)
ซึ่งชี้ว่ายังมีแนวคิดอีกมากที่จะขยายขอบเขตเกี่ยวกับการวิจัยเชิงประจักษ์บนฐานของการทำงานภาคสนามแบบชาติพันธุ์
การศึกษาเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศได้ค้นพบ
“วัตถุแห่งรัก” ในสื่อชนิดใหม่และอินเตอร์เน็ตที่มีลักษณะเฉพาะ
อิทธิพลของทฤษฎีเควียร์ที่มีมายาวนานเกี่ยวกับการศึกษาตัวบท (Textualism) สามารถสืบค้นไปในงานวิจัยเควียร์ที่ศึกษาพื้นที่และปฏิสัมพันธ์ของการออนไลน์
ในขณะที่มีการตีความเชิงวิพากษ์ของการศึกษาแนวนี้ สามารถช่วยให้เราเข้าใจว่าปฏิสัมพันธ์แบบไหนที่จะเกิดขึ้น
และมันจะถูกจัดการและถูกแสดงออกอย่างไรบ้าง (เช่น
เซ็กส์เสมือนจริง การหาคู่ออนไลน์ และสลับขั้วเพศสภาพ) การศึกษาในแนวนี้ทำให้เราคาดเดาเกี่ยวกับความหมายเชิงการเมืองและวัฒนธรรมของชีวิตประจำวันแบบเควียร์และแบบรักต่างเพศ ทางที่ปูไว้ให้ในงานวิจัยกระแสหลักเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตให้ความรู้เกี่ยวกับการสร้างตัวตนในชีวิตจริงของชีวิตในโลกเสมือนจริง
เช่นเดียวกับการศึกษาชีวิตของเควียร์ในอินเตอร์เน็ต ตัวอย่างเช่น
สนใจเรื่องการย้ายสถานที่และย้ายความสัมพันธ์ ในวัฒนธรรมและชุมชนเกย์ “ในโลกความจริง”
ไปสู่กิจกรรมออนไลน์
สิ่งนี้แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างกันเช่นเดียวกับการแยกจากกัน
การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อศึกษาวัฒนธรรมเกย์ในญี่ปุ่น มาร์ค แม็คเลลแลนด์
พบว่าคำอธิบายในอินเตอร์เน็ต(ข้อมูลส่วนตัวในอินเตอร์เน็ต)
สามารถเปลี่ยนไปเป็นเซ็กส์ในชีวิตจริงได้อย่างรวดเร็ว
มาร์คชี้ให้เห็นอย่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนความเข้าใจของเขาที่มีต่ออินเตอร์เน็ต
โดยกล่าวว่าจากข้อมูลเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกันในญี่ปุ่นไปจนถึงพื้นที่สังคมในชุมชนเกย์ซึ่งบอกให้เรารู้เกี่ยวกับเซ็กส์ระหว่างชายกับชายซึ่งถูกต่อรองในการออนไลน์และบ่งบอกเป็นนัยว่าสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นกับปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวก็ได้ สิ่งสำคัญคือ
มาร์คชี้ว่าเป็นความจริงที่เขาติดตามความสัมพันธ์ในโลกเสมือนโดยไปดูการพบเจอกันแบบตัวจริงซึ่งทำให้เขาตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างการคาดหวังในโลกเสมือนจริงกับโลกความจริง สิ่งที่ตามมาคือ
การเผชิญหน้าในการออนไลน์กลายเป็นประสบการณ์เซ็กส์ในชีวิตจริง
คู่ขาของมาร์คจะกลายเป็นผู้ให้ข้อมูลและความพยายามของมาร์คเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลในโลกเสมือนจริงเปลี่ยนเป็นการศึกษาชีวิตออนไลน์และออฟไลน์แบบองค์รวม คริส เบอร์รีและฟราน มาร์ติน ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของไซเบอร์สเปซในกลุ่มเควียร์ไต้หวันและเกาหลี
เป็นการศึกษาที่ดีสำหรับความต้องการที่จะย้ำเรื่องความเกี่ยวโยงกันระหว่างกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์
ในบริบทของการวิจัยนี้
พวกเขาพบว่าชุมชนออนไลน์แบบไม่เป็นทางการไม่ใช่ถูกรวมอยู่กับกิจกรรมออฟไลน์เท่านั้น
แต่ยังช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่มีการออนไลน์แบบใหม่
เช่นเดียวกับการกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวของเควียร์
ซึ่งมาพบเจอกันในเครือข่ายออนไลน์และออฟไลน์
บทความนี้จะนำข้อสังเกตเหล่านี้มาพิจารณาโดยเสนอความคิดเห็นและข้อสังเกตหลายประการที่วางอยู่บนงานวิจัยซึ่งมีการอ้างการวิจัยทางชาติพันธุ์ของผู้เขียนบทความเอง
ที่อธิบายเกี่ยวกับการกระทำทางเทคโนโลยีของครัวเรือนที่มีผู้หญิงเป็นศูนย์กลางในเมืองบริจตัน
ประเทศอังกฤษ ประการแรก จะชี้ให้เห็นว่าความสำคัญของการศึกษาเพศวิถีแบบเควียร์เริ่มเกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ตก่อนและเกี่ยวข้องกับกิจกรรมและประสบการณ์ต่างๆ เราอาจมองไม่เห็นสื่อเทคโนโลยีแบบอื่น
และการปฏิบัติทางสาธารณะและส่วนตัวในชีวิตประจำวันที่มีการสร้างตัวตนและอัตลักษณ์ทางเพศและเพศสภาพ ดังที่กล่าวมาข้างต้น
ยังมีความจำเป็นที่จะชี้ให้เห็นถึงเพศสภาพและเพศวิถีที่อยู่ในงานวิจัยกระแสหลักที่ศึกษาเทคโนโลยีสื่อสารและชีวิตประจำวัน
ตราบเท่าที่ยังมีความต้องการการศึกษาแบบเควียร์เพื่อที่จะเข้าใจความจริงที่เห็นเป็นประจำเกี่ยวกับชีวิตเกย์เลสเบี้ยน
ซึ่งเฮลเพอรินเคยพูดถึงมาแล้ว ในบริบทนี้
สถานที่และจุดเริ่มต้นอื่นๆที่เป็นไปได้สำหรับการตั้งคำถามเชิงวิจารณ์ต่อการใช้เทคโนโลยีสื่อสาร
เพศสภาพ และเพศวิถี สามารถหาได้ในพื้นที่ครัวเรือนและครอบครัว
ซึ่งยังคงเป็นเรื่องที่ยังไม่มีการวิจัย
ไม่เหมือนกับเรื่องครัวเรือนของครอบครัวเดี่ยว
การเลือกศึกษาครัวเรือนที่มีผู้หญิงเป็นศูนย์กลางสำหรับผู้เขียนเอง พบว่าสถานที่ที่ผู้หญิงแสดงตัวตนว่าเป็นเลสเบี้ยน
ไบเซ็กช่วล
หรือรักต่างเพศเป็นพื้นที่ศูนย์กลางและจุดเริ่มต้นสำหรับการตั้งคำถามเชิงประจักษ์
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ซึ่งทำให้เรามองไปที่การศึกษาเรื่องราวชีวิตที่หลากหลายและรูปแบบของการอยู่ร่วมกัน
ซึ่งเคยถูกทำให้ตกขอบหรือถูกทำเป็นสัญลักษณ์ตามธรรมเนียมของการศึกษาสื่อและสังคมวิทยา
พื้นที่ครัวเรือนนี้ทำให้เกิดการประเมินซ้ำถึงพฤติกรรมของกระบวนการทำให้เป็นเพศสภาพที่กำลังล่มสลาย
โดยมองไปที่ร่างกายทางเพศที่อยู่ในฐานะผู้รบกวนความเป็นชายและหญิง
เช่นเดียวกับคู่ตรงข้ามระหว่างรักต่างเพศและรักเพศเดียวกัน
การศึกษานี้ยังช่วยให้มองเห็นแบบองค์รวมและมีความเฉพาะเกี่ยวกับการกระทำทางเทคโนโลยีที่ถูกเชื่อมอยู่กับแรงงานในครัวเรือน
การใช้เวลาว่าง และการทำงาน นอกจากนั้น
การมองดูบริบทนี้สามารถช่วยให้เรามองเห็นการปฏิบัติทางเพศสภาพในแง่ของบบรทัดฐานรักต่างเพศและการเผชิญหน้ากับเทคโนโลยี
ประการที่สอง
ยังคงมีความพร้อมในงานวิจัยไซเบอร์เควียร์ที่จะมองหาตำแหน่งแห่งที่ของตัวตนของเลสเบี้ยน
เกย์ ไบเซ็กช่วลและคนข้ามเพศ จึงมีการใช้
“เควียร์” ในฐานะเป็นการอธิบายแบบสั้นๆเพื่อบ่งบอกถึงคนหลายกลุ่มซึ่งจะถูกมองว่าเป็นพวกนอกกรอบ
สิ่งนี้อาจจะเถียงกันได้
อาจเป็นการสร้างคู่ตรงข้ามระหว่างเควียร์กับรักต่างเพศโดยการชี้ให้เห็นความซับซ้อนและการท้าทายของการสร้างตำแหน่งแห่งตัวตนทุกๆแบบ
เช่นเดียวกับการปล่อยให้ตัวตนตามกรอบไม่ถูกตรวจสอบ การตัดสินใจมิใช่การจำกัดขอบเขตหรือตีตราครัวเรือนให้อยู่กับเลสเบี้ยนหรือเควียร์ที่แสดงตัวตนเป็นหญิง
แต่เป็นการมองไปที่การแสดงออก การสร้าง
และการเชื่อมโยงอัตลักษณ์ทางเพศและเพศสภาพในช่วงเวลายาวนานและต่อเนื่องซึ่งจะทำให้เข้าใจธรรมชาติที่ไม่แน่นอนและความไม่คงที่ของตำแหน่งตัวตนใดๆก็ตาม
ผู้หญิงบางคนได้ต่อรองและแก้ไขนิยามอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองตลอดช่วงเวลาหลายปี
ประการที่สาม
อาจอธิบายได้ว่าเพศสภาพที่อยู่ภายใต้เพศวิถี
หรือเพศแบบอื่นๆซึ่งถูกวิเคราะห์จะขัดขวางเราในการประเมินความตึงเครียดที่เกิดจากการทำงานที่มีเรื่องของการเกี่ยวโยงสิ่งต่างๆ วิถีทางที่อัตลักษณ์ของเพศสภาพกลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นหญิงและความเป็นชายที่ตายตัวสามารถถูกสำรวจได้มากขึ้นเมื่อมันถูกมองในบริบทของอัตลักษณ์ทางเพศ ตัวอย่างเช่น มีความแตกต่างทางอำนาจระหว่างการแสดงความเป็นหญิงแบบเลสเบี้ยน ผู้หญิงที่เป็นเลสเบี้ยน
หรือความเป็นหญิงแบบรักต่างเพศ (ถึงแม้ว่า
บางเวลามีการแสดงออกโดยผู้หญิงที่นิยามว่าตนเองเป็นเลสเบี้ยน
หรือถูกปฏิเสธโดยผู้หญิงที่นิยามว่าตนเองเป็นรักต่างเพศ) ผู้หญิงทุกแบบในการศึกษาของผู้เขียนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับการแสดงตัวตนภายใต้กรอบความคิดเพศสภาพตามบรรทัดฐานของรักต่างเพศ การเข้าแทรกแซงและการก้าวล่วงของผู้หญิง
เช่นเดียวกับการพลาดพลั้งที่จะมองหาทางหลีกหนีหรือทำลายตัวแบบทางเพศและเพศสภาพ
เป็นสิ่งที่ถูกให้ความสำคัญในระหว่างที่มีการสัมภาษณ์พวกเธอ อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการสัมภาษณ์ในตัวมันเองทำให้ผู้หญิงมีความตระหนักและสะท้อนตัวตนมากขึ้นกว่าการที่พวกเธอใช้ชีวิตอยู่ในยามปกติในแต่ละวัน ในแง่นี้
อาจกล่าวได้ว่าข้อค้นพบของผู้เขียนมาจากการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการสนทนาแบบไม่เป็นทางการที่เปิดเผยให้เห็นการชักจูงของตำแห่งเพศสภาพตามจารีตแบบอ้อมๆ
และเชิญให้ผู้หญิงรู้จักคิดเช่นเดียวกับการสร้างแบบไม่รู้ตัว
การเมืองของชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือเรื่องบ้านและครัวเรือน
เทคโนโลยีสื่อสารเป็นผู้เล่นสำคัญในการเชื่อมโยงและสร้างความคลุมเคลือให้กับพรมแดนเพศสภาพระหว่างพื้นที่ส่วนตัวและสาธารณะ แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการเข้าถึงโลกเสมือนจริงยังต้องการแนวคิดที่จะทำความเข้าใจการบริโภคสื่อเทคโนโลยีในมิติองค์รวม เมื่อพิจารณาถึงการใช้คอมพิวเตอร์
อีเมล์และอินเตอร์เน็ต ผู้หญิงในการศึกษาของผู้เขียนได้ท้าทายให้มีการสร้างพรมแดนของการใช้เวลาว่างและการทำงาน
เช่นเดียวกับการเชื่อมโยงอัตลักษณ์ของเพศสภาพในการเป็นผู้หญิง เป็นแม่ เป็นคนทำงาน
และเป็นคู่ชีวิตของความสัมพันธ์ทางเพศ เข้ากับการปฏิบัติทางเทคโนโลยีของพวกเธอ
ในบริบทนี้ การใช้สื่อแบบเก่าและเทคโนโลยีสื่อสาร เช่น วิทยุ โทรทัศน์
และโทรศัพท์บ้านล้วนมีผลกระทบในทางที่พวกเธอถูกทำให้เป็นเพศสภาพและถูกมองว่ามีตำแหน่ง
การทำให้เป็นปกติเช่นนี้ส่งผลต่อการปฏิบัติในชีวิตประจำวันในแง่ของการแสดงบุคลิกลักษณะตามพื้นที่และตามเวลาของพวกเธอ
เทคโนโลยีและอัตลักษณ์ทางเพศ
และเพศสภาพ
แซง(2000)
กล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีและเพศวิถีคือสิ่งที่อยู่ร่วมกัน บทความนี้ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเพศสภาพ
เพศวิถี ทฤษฎีเฟมินิสต์และเควียร์
เพื่อที่จะชี้แนะและสร้างแรงบันดาลใจถึงวิธีการและพื้นที่ของการตั้งคำถาม
ซึ่งมองไปที่การศึกษาเทคโนโลยีสื่อสารชนิดใหม่
อาจกล่าวได้ว่า ถึงแม้เฟมินิสต์
และนักวิชาการกระแสหลักทั้งหลายจะตรวจสอบวิธีการซึ่งการใช้เทคโนโลยีสื่อสารและตัวบทในสื่อซึ่งถูกมองเป็นเรื่องเพศสภาพ
แต่ไม่มีการเน้นย้ำถึงการตรวจสอบวิธีการที่อัตลักษณ์เพศสภาพจะเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับอัตลักษณ์ทางเพศ
และบทบาทของเทคโนโลยีสื่อที่ปรากฎอยู่ในกระบวนการสร้างอัตลักษณ์นี้เท่าใดนัก
การไม่สนใจนี้ทำให้มีการผลิตซ้ำของการวิเคราะห์แบบมิติเดียวต่อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพศสภาพและเทคโนโลยี มันเป็นการกดทับการประเมินเกี่ยวกับความแตกต่างของการแสดงออกระหว่างความเป็นหญิงและชายแบบตายตัว
ซึ่งเกิดขึ้นในการจัดเตรียมประสบการณ์ของความหลากหลาย
และทำให้ประสบการณ์ของเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศเปลี่ยนไป
แต่ที่สุดแล้วมันบดบังความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เรื่องตัวตนทางเพศและเพศสภาพซึ่งปรากฎขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี
ทฤษฎีเควียร์
มีการสร้างกรณีศึกษาที่โน้มน้าวใจสำหรับการพูดถึงเพศวิถีในฐานะเป็นชุดความคิดในการวิเคราะห์
ซึ่งยังคงทุกข์ทรมานจากการมองไม่เห็นเพศสภาพ
จากแนวโน้มของการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับ “ไฮเปอร์”
และจากความนิยมการมองเชิงตัวบทและนัยยะแฝงเร้นตามแนวการศึกษาทางสังคมวิทยา ในบริบทนี้
อาจกล่าวได้ว่าการมองตามทฤษฎีและการปฏิบัติแบบเควียร์ที่ยังคงดำเนินต่อไปนั้น
วิธีวิทยาและแนวคิดทฤษฎีจำนวนมากสามารถถูกสำรวจต่อไปได้ ประการแรก
ถึงแม้ความเป็นประโยชน์ของเพศวิถีในฐานะหน่วยของการวิเคราะห์
จะไม่ถูกคาดคะเนมากเกินไป
มันไม่ควรจะถูกนำไปใช้แบบแยกต่างหาก
และไม่ควรจะเป็นผลของการเลือกและการมองแต่เพศวิถีที่อยู่นอกกรอบ
แต่ยังต้องตั้งคำถามและตรวจสอบความเป็นรักต่างเพศอีกมากมาย
ผู้เขียนเชื่อว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาแบบเควียร์ที่พยายามให้ความสนใจและการเข้าไปแทรกซึมอยู่ในการวิจัยกระแสหลัก
หนทางหนึ่งที่จะเข้าไปสู่ความคิดนี้ คือการให้ข้อมูลและการทำให้ทฤษฎีของเพศสภาพขยายกว้างออกไป
โดยการตั้งคำถามเกี่ยวกับเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ
ภาระกิจนี้ไม่สามารถทิ้งไว้กับนักทฤษฎีเฟมินิสต์เพียงลำพังได้
ประการที่สอง
การศึกษาสื่อและเทคโนโลยีสื่อสารเป็นสิ่งทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศและเพศสภาพ
ซึ่งกำลังเริ่มต้นที่จะสร้างตัวในการพุ่งไปที่เรื่องสภาพแวดล้อมและปฏิบัติการของการออนไลน์
เช่นเดียวกับการวิจัยที่เกิดขึ้นตามประเพณีอันยาวนานของการสำรวจตัวบททางวัฒนธรรม ข้อถกเถียงในบริบทนี้ก็คือ
ยังคงมีแนวคิดอีกมากในการตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ ซึ่งเน้นย้ำและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการออนไลน์และออฟไลน์
ระหว่างการปฏิบัติและประสบการณ์ของสื่อชนิดเก่าและชนิดใหม่
การเน้นเรื่องการตีความตัวบทอาจบอกให้เรารู้บางส่วนเกี่ยวกับเรื่องราวโดยการละทิ้งสิ่งที่มุ่งไปสู่การสร้างตัวบทและสภาพการณ์เกี่ยวกับการใช้สื่อ ในที่นี้จะแนะนำว่าการเปลี่ยนมุมมองเควียร์ให้เหมาะกับการตรวจสอบการปฏิบัติทางเทคโนโลยีในฐานะที่เป็นส่วนของชีวิตประจำวัน ดังนั้นการเมือง
ปฏิบัติการและอัตลักษณ์ของเควียร์ต้องได้รับการกล่าวถึงในฐานะเป็นตัวแทนที่สร้างขึ้นโดยวัฒนธรรมของชีวิตประจำวัน มากกว่าจะถูกทำให้เป็นตัวตนหรือรูปแบบของความเป็นบุคคลและการขับเคลื่อนทางการเมือง ในบริบทนี้
ต้องการชี้ให้เห็นว่าเราสามารถขยายความเข้าใจและการค้นพบเกี่ยวกับการปฏิบัติเชิงเทคโนโลยีแบบเควียร์โดยการนำวิธีเชิงชาติพันธุ์ไปศึกษาครัวเรือนและสภาพแวดล้อมการทำงาน พื้นที่ส่วนตัวและสาธารณะเพื่อที่จะสร้างคำอธิบายที่เกี่ยวกับการสร้างความหมายทางเพศและเพศสภาพในชีวิตประจำวัน เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว
เราไม่ได้แค่เรียนรู้เกี่ยวกับการทำให้เทคโนโลยีชนิดใหม่มีความเป็นเพศ และเพศนอกกรอบของไซเบอร์สเปซ เท่านั้น
แต่ยังเป็นการเริ่มที่จะตั้งคำถามต่อการปฏิบัติของผู้คนที่ใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีด้วย
เราสามารถพิสูจน์ความหมายและการเป็นตัวบทเชิงสัญลักษณ์
เช่นเดียวกับความสามารถที่จะสร้างและท้าทายความหมายของบรรทัดฐานรักต่างเพศ ตัวอย่างเช่น เราอาจใช้เชือกที่หรูหราเพื่อที่จะทำให้โทรทัศน์เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีเควียร์
และเปลี่ยนการไหล่บ่าของอำนาจที่มีอยู่ครัวเรือนผสมผสานระหว่างรักต่างเพศและเควียร์
หรือเราสามารถจัดวางโทรทัศน์ให้เป็นศูนย์กลางของห้องนั่งเล่นที่จัดขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ
“ความเป็นปกติ” เช่นเดียวกับกรณีแม่ที่เป็นเลสเบี้ยนที่ไม่มีคู่ เทคโนโลยีเก่าและใหม่จะถูกควบคุมและเป็นสิ่งที่ควบคุมอัตลักษณ์ทางเพศและเพศสภาพของเรา ประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์
และการต่อรองเป็นสัญญาณของการดำเนินไปเรื่อยๆเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลง
มากกว่าจะเป็นแค่รอยแยกในวัฒนธรรมและการปฏิบัติทางเทคโนโลยีของชีวิตประจำวันของเรา
แปลและเรียบเรียงโดย
ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ จาก Irmi Karl.
On/Offline: Gender, Sexuality, and the Techno-Politics of Everyday Life. In
O'Riodan & Phillips. (eds.). Queer Online. New York, Peter Lang Publishing.
2007. pp.45-64.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น